หัวใจนักสู้ / เครื่องเคียงข้างจอ : วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

 

หัวใจนักสู้

 

เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ในแวดวงกีฬาเทนนิสโลกข่าวหนึ่งที่ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีในหมู่แฟนๆ นักเทนนิสทั่วโลก

นั่นคือ การคว้าแชมป์ชายเดี่ยวออสเตรเลียน โอเพ่น 2022 ของราฟาเอล นาดาล นักหวดชื่อดังชาวสเปน ลำพังแค่การคว้าแชมป์ระดับแกรนด์สแลมของนักกีฬาที่มีอายุ 35 ปี ก็น่าชื่นชมยินดีไม่น้อย แต่ที่เป็นตัวจุดพลุให้ทวีความยินดีไปอีกสิบเท่าคือ การเป็นแชมป์เทนนิสในระดับแกรนด์สแลม ครั้งที่ 21 ของเจ้าตัว

ลบสถติ 20 แกรนด์สแลม ของโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ และโนวัค โยโควิช สองคู่แข่งลงได้อย่างสวยงาม และเป็นตัวเลขสถิติที่สูงที่สุดของประวัติศาสตร์นักเทนนิสชายเดี่ยวของวงการเทนนิสโลกที่เคยมีมา จะไม่ให้ยิ่งใหญ่อย่างไรได้ ว่าไหม?

บางสื่อให้ความเห็นว่าการเถลิงแชมป์ของนาดาลครั้งนี้ อาจด้วยเพราะไร้ 2 คู่แข่งคนสำคัญคือเฟดเดอเรอร์ ที่ร่างกายยังไม่พร้อมลงแข่ง กับโยโควิชที่ร่างกายและหัวใจพร้อมลงแข่งเพื่อป้องกันแชมป์เต็มที่ แต่ทางการของประเทศออสเตรเลียเขาไม่อนุญาตให้ลงสนามเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา

ถึงกระนั้นในแมตช์ชิงนะเลิศกับนักหวดชาวรัสเซีย “ดานีล เมดเวเดฟ” วัย 25 ปี นาดาลก็ต้องใช้ทุกอย่างที่มีทั้งพละกำลัง และความเข้มแข็งของหัวใจ ในอันที่พลิกกลับมาชนะได้ 3-2 เซ็ต หลังถูกนำไปก่อนถึง 2-0 เซ็ต เมดเวเดฟต้องการอีกเพียงเซ็ตเดียวก็จะหยิบถ้วยนี้ไปครอง

แต่ไม่ใช่กับคู่แข่งใจสู้อย่างนาดาล ที่เขาไม่มีวันยอมแพ้จนนาทีสุดท้าย แฟนๆ เทนนิสที่ชมคู่นี้จึงต้องชมการหวดลูกสักหลาดกันนานถึง 5 ชั่วโมง กับอีก 24 นาที ถ้าขึ้นเครื่องบินจากเมืองไทยก็เกือบจะลงจอดที่ญี่ปุ่นได้เลยสำหรับเวลาที่นานขนาดนี้

จึงเป็นแมตช์ระดับห้าดาวทีเดียวสำหรับแมตช์ชิงออสเตรเลี่ยน โอเพ่นปีนี้ และโลกก็ได้ร่วมยินดีกับเขาราฟาเอล นาดาล คนนี้

 

จริงๆ แล้วเมื่อย้อนไป 10 ปีที่แล้ว ในปี 2012 นาดาลก็ได้ลงชิงแชมป์ในออสเตรเลียน โอเพ่น มาแล้วโดยต้องต่อกรกับโนวัค โยโควิช โดยใช้เวลาที่นานกว่าครั้งนี้คือ 5 ชั่วโมง กับอีก 53 นาทีนั่น แต่ครั้งนั้นเขาเป็นฝ่ายพ่ายไปด้วยสกอร์ 3-2 เซ็ต

ใครเลยจะนึกว่านักเทนนิสที่มีสไตล์การเล่นที่ดุดันแบบนาดาล ที่ใช้ร่างกายเปลืองในทุกการแข่งขัน จะยังคงแข็งแกร่งดุจหินผาในวัย 35 ปีจนสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เช่นนี้ ทั้งที่เขาเคยบาดเจ็บอย่างหนักจนต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลานานในปี 2015 และ 2016 จนอันดับโลกร่วงไปหลายสิบอันดับ ตอนนั้นใครๆ ก็นึกว่าเขาน่าจะหมดอนาคตกับการแข่งขันเทนนิสไปแล้ว หรือกลับมาก็ไม่สามารถท็อปฟอร์มแบบเดิมได้

แต่ในปี 2018 นาดาลก็กลับขึ้นมาผงาดได้อีกอย่างแข็งแกร่ง นั่นคือการไม่ยอมแพ้ของเขา

สำหรับนักกีฬาแล้วนอกจากสภาพร่างกายที่ต้องพร้อม สภาพจิตใจก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก สำหรับนาดาลแล้วเขาได้พิสูจน์ต่อหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็งของเขาให้แฟนๆ ได้เห็นหลายครั้งหลายครา จากการที่ตามหลังอย่างมาก พลิกกลับมาเอาชนะคู่แข่งได้ในที่สุด

นาดาลเคยให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองที่สะท้อนถึงจิตใจของเขาได้เป็นอย่างดีว่า

“ไม่ให้ความสำคัญกับชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้มากเกินไป”

นั่นคือการอยู่กับปัจจุบันตามหลักของพุทธศาสนานั่นเอง

 

หากย้อนกลับไปดูเรื่องราวในชีวิตของนาดาลก็จะพบว่า เขาเป็นคนมีความมุ่งมั่นในการเล่นเทนนิสอย่างมาก นาดาลเกิดที่เมืองมาจอร์กา ในประเทศสเปน ลุงของเขาเป็นนักเทนนิสอาชีพ และเป็นผู้นำหลานให้ฝึกเล่นเทนนิสตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ซึ่งเดิมนาดาลเป็นคนถนัดขวาเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่ลุงของเขาอยากให้เขามี “อาวุธที่แตกต่าง” เวลาต่อสู้กับคนอื่น จึงให้หลานหัดเล่นด้วยมือซ้าย นั่นเป็นจุดเริ่มของการเป็นนักหวดสมญาเพชฌฆาตมือซ้ายของเขาในเวลาต่อมา

การตีมือซ้ายของเขาที่ได้เปรียบคือ เมื่อเขาตีโฟร์แฮนด์ด้วยมือซ้าย จะไปเข้าแบ๊กแฮนด์ของคู่ต่อสู้ที่ส่วนใหญ่ถนัดมือขวา ซึ่งการตีแบ๊กแฮนด์จะยากกว่าโฟร์แฮนด์ ยิ่งเจอกับลูกที่เร็วและแรงด้วยแล้ว ทำให้เกิดข้อผิด พลาดได้ง่าย นั่นเป็นหนึ่งในเคล็ดลับอาวุธของเขา

และด้วยฝีมือที่ไม่ธรรมดา ด.ช.นาดาลในวัย 8 ปีก็คว้าแชมป์เทนนิสเยาวชนรุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปีมาครองได้สำเร็จ จากนั้นก็เดินทางเก็บเกี่ยวชัยชนะและประสบการณ์ พร้อมการเทิร์นโปรในเวลาต่อมา

และเพียงอายุ 16 ปีเขาก็อยู่ในแรงกิ้ง 50 อันดับแรกของสมาพันธ์เทนนิสโลกแล้ว

 

ตอนเขาอายุ 17 ปี เขาได้ลงแข่งขันศึกวิมเบิลดัน ในปี 2003 และได้มีโอกาสปะทะฝีมือกับบอล-ภราดร ศรีชาพันธุ์ ยอดนักเทนนิสของไทยที่ตอนนั้นอยู่ในอันดับ 9 ของโลก ในการแข่งขันรอบที่สาม

ตอนนั้นนาดาลยังเป็นนักเทนนิสหน้าใหม่มาก ผู้ชมที่รู้จักฝีมือของภราดรมาแล้วต่างเชื่อว่า มร.ศรีชาพันธุ์ ในวัย 24 ปี คงกำราบเด็กหนุ่มชาวสเปนอายุ 17 ที่มาจากรอบคัดเลือกลงได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่เช่นนั้น ภราดารต้องเจอกับการเล่นที่หนักหน่วงและจู่โจมตามสไตล์กระทิงหนุ่มของนาดาลจนเกือบเอาตัวไม่รอด แต่ในที่สุดด้วยความเก๋าเกมกว่า เจ้าบอลก็เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-0 เซ็ต แต่นั่นทำให้แฟนๆ เทนนิสได้สัมผัสกับฝีมืออันร้ายกาจของเจ้าหนุ่มชาวสเปนคนนี้

หลังการแข่งขัน นาดาลให้สัมภาษณ์ว่า “ภราดรตีได้หนักมาก หากตนต้องการตีได้หนักอย่างนี้ก็ต้องกลับไปฝึกซ้อมให้หนักขึ้นกว่าเดิม พัฒนาการตีให้ดีขึ้นโดยเฉพาะการเสิร์ฟ และเพิ่มอาวุธสำคัญให้มากขึ้น”

และนั่นคือการพัฒนาฝีมือจนต่อมาทุกคนต่างรู้ว่านาดาลเสิร์ฟหนักและตีหนักเพียงใด

ถัดจากนั้นปีเดียว ในวัย 18 ปี นาดาลก็สามารถคว้าถ้วยแกรนด์สแลมแรกมาครองได้ในศึกเฟรนช์ โอเพ่น 2005 นับว่าเป็นบันไดความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ที่ทั้งโลกต่างจับตามองเขาคนนี้ ก่อนจะค่อยๆ เก็บสะสมถ้วยแกรนด์สแลมจนมาถึงใบล่าสุดเป็นถ้วยที่ 21 แล้ว

และมีท่าทีว่าน่าจะเก็บได้เพิ่มขึ้นได้ด้วย โดยเฉพาะในคอร์ดดินของเฟรนช์ โอเพ่น ที่เขาถนัด

ชื่อเสียงจากความสำเร็จ รวมทั้งทรัพย์สินที่เกิดจากกีฬาเทนนิสของนาดาลมีอย่างล้นเหลือ แต่นั้นคือการทำงานหนักมาตลอดชีวิตนักกีฬา รวมกับการเป็น “นักสู้” ที่ไม่ยอมแพ้ มีทัศนคติในการแข่งขันที่เป็นบวก และเคารพตนเอง

 

ซึ่งก็เหมือนนักกีฬายอดนิยมของไทยตอนนี้คือ เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ความสำเร็จและชื่อเสียงของเขาตอนนี้ไม่แต่แฟนๆ กีฬาชาวไทยเท่านั้น แต่แฟนกีฬาอาเซียน และเอเชีย ก็รับรู้และจับตามองเขาอยู่ ซึ่งก้าวต่อไปคือการพิสูจน์ฝีเท้ากับต้นสังกัดใหม่ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ซึ่งมาดูกันว่าในวันเปิดลีกเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ จะมีชื่อของชนาคุงลงสนามหรือไม่

และแน่นอนที่กว่าจะมาถึงวันนี้ เจเป็นตัวอย่างของนักสู้ที่เราท่านรู้กัน ต้องสู้กับการฝึกฟุตบอลอย่างหนักจากผู้เป็นพ่อ ต้องสู้กับการคัดตัวที่ความตัวเล็กของเขากลายเป็นอุปสรรคตั้งแต่ด่านแรก แต่เขาก็สู้…สู้…และสู้ ด้วยการกระทำพิสูจน์ให้เห็นว่า ตัวเล็กไม่ใช่ปัญหา แถมเขายังใช้มันเป็นข้อได้เปรียบในความคล่องตัว ฉีกหลบคู่แข่ง และทะยานไปข้างหน้าได้อย่างแคล่วคล่อง

จนกระทั่งติดทีมเยาวชนในระดับอายุต่างๆ ติดตัวสโมสร จนไต่เต้ามาติดทีมชาติชุดใหญ่ และได้ไปค้าแข้งกับศึกเจลีก ลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดของเอเชีย และสร้างชื่ออย่างมากกับการเล่นที่นั่น จนล่าสุดได้ย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงเป็นประวัติศาสตร์ของนักเตะต่างชาติในเจลีก

ซึ่งผู้ใกล้ชิดบอกว่า เจนั้นเป็นคนมีสองบุคลิกที่น่าสนใจ และเป็นส่วนหนึ่งของการประสบความสำเร็จของเขา นั่นคือ การเป็นคนเฟรนด์ลี่นอกสนาม ทำให้เขาเข้ากับเพื่อนในทีมได้ง่าย เป็นที่ยอมรับและเชื่อใจในเวลาต่อมาส่งผลดีเวลาเล่นเป็นทีมในสนามแข่ง และยังเป็นขวัญใจของแฟนบอลด้วยบุคลิกน่ารักเป็นกันเองของเขา

ในขณะ เดียวกันเขาก็มีบุคลิกที่สองเวลาอยู่ในสนาม คือ เป็นคนมุ่งมั่น จริงจัง มีวินัย อดทน ไม่ยอมแพ้ กระหายชัยชนะ และไม่เคยถอดใจ ซึ่งถือว่าเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของนักกีฬาอาชีพ

 

“การกระหายต่อความสำเร็จ” นี้เป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นแรงขับพลังเทอร์โบที่ผลักดันให้นักกีฬาก้าวจากการเป็นนักกีฬาธรรมดาคนหนึ่งให้เป็นนักกีฬาในระดับท็อปได้

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยพูดถึงเรื่องวิธีการคัดเลือกนักฟุตบอลให้เข้ามาร่วมทีมของเขาว่า เขามักจะคัดนักเตะที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวที่ลำบากยากจน หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ย่ำแย่ เพราะนักเตะที่เติบโตมาแบบติดลบเช่นนี้ จะมีแรงขับพิเศษในการเล่นฟุตบอล ทำให้เขามี “ใจสู้” ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะฟุตบอลคือทางออกเดียวของเขาที่จะทำให้ชีวิตของเขาและครอบครัวดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ไม่เพียงเฉพาะกับนักกีฬาอาชีพเท่านั้น แต่สำหรับทุกงานอาชีพ การเป็น “นักสู้” เป็นเรื่องสำคัญ เพราะนั่นคือ การเคารพตัวเองในความเป็นคนประกอบอาชีพ และเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

เราคงเห็นตัวอย่าง “นักสู้” ในสาขาอาชีพต่างๆ มาแล้ว

บางทีลุงตู่ อาจจะมีความเป็นนักสู้เต็มเปี่ยม จากการได้ผันตัวเองมาประกอบอาชีพนักการเมืองเข้าแล้วกระมัง จึงได้อดทน ไม่ยอมแพ้ และใจสู้ อยู่ถึงวันนี้ เช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่นๆ ที่เราล้วนเห็น “ใจสู้” กันทุกราย ไม่ว่าจะต้องเจ็บตัว เจ็บใจ เจ็บปวด เจ็บหลังเพราะถูกหักหลังมา ก็ยังคงเดินหน้าสู้เช่นเดิม

ขอเป็นกำลังใจให้กับ “นักสู้มืออาชีพ” ทุกคนนะครับ