ดื่มน้ำย่านาง ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ช่วงฤดูสะเทินร้อนสะเทินหนาว

สภาพโลกร้อน โลกธาตุจึงเรรวนปรวนแปรไม่เป็นไปตามอุตุนิยาม เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน สะเทินหนาว สะเทินร้อน

กายธาตุของร่างกายปรับตัวไม่ทันอาจเป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมา

เมื่อเร็วๆ มีข่าวดีที่อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกมาประกาศเองว่า ขณะนี้มีการวิจัยในหลอดทดลองของยาแผนไทยโบราณต้านโควิด-19 ได้ผลดีถึง 2 ตำรับ คือ ยาห้ารากและยาประสะเปราะใหญ่

ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะยาห้ารากซึ่งสามารถเขมือบเชื้อเดลต้า ไวรัสโควิดตัวร้ายที่สุดได้เกือบเต็มร้อยคือ ได้ถึง 96.23%

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีเข็มมุ่งศึกษาการใช้ยาห้าราก เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันก่อนการติดเชื้อโควิด-19 นับเป็นการต่อยอดการศึกษาที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยรายงานไว้ว่าสารสกัดยาห้าราก ไม่ว่าจะใช้ส่วนรากหรือลำต้น-เถา ในขนาดแค่ 100-200 มิลลิกรัม/น้ำหนักหนูทดลอง 1 กิโลกรัมสามารถลดไข้ได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาแอสไพรินขนาด 300 ม.ก./ก.ก.เลยทีเดียว โดยมีความปลอดภัยมากกว่า

เพราะยาห้ารากเป็นยาบรรเทาอาการไข้ ที่ประกาศอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและเป็นยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้ทั่วไปนอกร้านขายยา ในขณะที่ยาแอสไพรินต้องให้หมอสั่งจ่ายเท่านั้น

ที่น่าสนใจคือ มีการแยกศึกษาฤทธิ์ของสมุนไพรตัวเดี่ยวในตำรับยาห้ารากอีกด้วย พบว่าได้ผลลดไข้ใกล้เคียงกับยาทั้งตำรับ

โดยเฉพาะย่านางทั้งส่วนรากและเถา สามารถต้านเชื้อมาลาเรียที่ดื้อยาคลอโควินได้ผลดี มีความเป็นพิษต่ำกว่าเคมีเภสัชมาก

และยังพบสารออกฤทธ์สำคัญในย่านางที่มีชื่อว่า ไตเลียโครีนีน (Tiliacorinine) อันเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ของย่านางว่า Tiliacora triandra นั่นเอง

ยิ่งกว่านั้น ยังพบสารออกฤทธิ์ลดไข้ ต้านเชื้อมาลาเรียในย่านางที่ไม่พบในสมุนไพรชนิดอื่น

สารตัวนี้จึงมีชื่อเรียกสากลเป็นคำไทยเท่ว่า “ย่านางโครีนีน” (yanangcorinine)

ความโดดเด่นของย่านางที่เหนือขั้นกว่าสมุนไพรตัวอื่นในตำรับยาห้าราก คือ มีความปลอดภัยสูง

เพราะย่านางเป็นผักพื้นบ้านโบราณที่ชาวไทยบริโภคเป็นอาหารมายาวนาน

โดยใช้ส่วนใบอ่อน ใบแก่ และเถา มาตำคั้นเอาน้ำทำเป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น ใส่ในแกงหน่อไม้ แกงขี้เหล็ก แกงเห็ด แกงอ่อมแซบ หรือซุบหน่อไม้ ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังช่วยแก้พิษเบื่อเมาของเห็ดป่า ที่เป็นจุดโดดเด่นในภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านของเราทีเดียว

และช่วยกำจัดพิษกรดยูริคในหน่อไม้ ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นโรคไต โรคเกาต์ไม่ปวดข้อ ปวดเข่า หรือเกิดไตอักเสบจากกรดยูริกที่อยู่ในหน่อไม้

หรืออย่างง่ายสุดจะใช้ยอดและใบอ่อนย่านางเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก เรียกน้ำย่อยเจริญอาหารก็ได้

เนื่องจากย่านางมีคลอโรฟิลล์อุดมด้วยธาตุเหล็กที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเม็ดเลือดแดงของมนุษย์ ดังนั้น จึงทำให้ระบบการไหลเวียนมีการผลัดเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้น ช่วยขจัดสารพิษออกจากระบบเลือด ตับ และไต ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงขึ้น

ปัจจุบันจึงเริ่มมีความนิยมนำใบย่านางมาทำเครื่องดื่มล้างสารพิษ เสริมวิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 ซึ่งมีอยู่สูงมากในสมุนไพรสีเขียวมรกตรสเย็นจืดชนิดนี้ รวมทั้งยังอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าในใบย่านาง 100 กรัม ให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูงถึง 95 กิโลแคลอรี โดยมีโปรตีนสูงถึง 15.5%

นอกจากนี้ ยังมีใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน และไนอะซีน ที่จำเป็นต่อร่างกาย

 

วิธีการทำน้ำใบย่านางสด สูตรทั่วไปไม่ต้องต้ม มีส่วนผสมดังนี้ ใช้ใบย่านาง 30-50 ใบ น้ำสะอาด 4.5 ลิตร ใบเตยหอม 10 ใบเพื่อแก้เหม็นเขียว เพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นชวนดื่มและเสริมสรรพคุณบำรุงหัวใจ

วิธีการทำ

1. หั่นหรือฉีกใบย่านางและใบเตยให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปตำโขลกให้ละเอียด หรือนำไปปั่นก็ได้

2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่แยกกากออก เอาแต่น้ำสีเขียวเข้ม แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นสำหรับดื่มได้ 4-5 วัน ถ้ารสเริ่มเปรี้ยวแสดงว่าเสียแล้วต้องเททิ้งทันที

ย่านางจึงเป็นทั้งยาแก้ไข้ที่ดีและเป็นอาหารพื้นบ้านอยู่ในวัฒนธรรมมาเนิ่นนาน

ของดีอย่างไรก็ควรเรียนรู้การใช้ให้ปลอดภัย หากกินแก้ไข้ไป 1-2 วัน อาการไข้ไม่ลดกลับรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์แสดงว่าไข้นี้ไม่ธรรมดา

สำหรับเมนูอาหารที่ปกติกินไม่ซ้ำควรสลับหมุนเวียนให้มีความหลากหลาย ก็ไม่ได้กินย่านางซ้ำๆ จำเจ หากปรุงเป็นน้ำใบย่านางที่มีความปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่มองตามสรรพคุณรสยาไทย น้ำใบย่านางรสเย็นจัดก็ไม่แนะนำให้กินจำนวนมากๆ และต่อเนื่องนานๆ เช่น ดื่มกันทั้งวันต่อเนื่องนานๆ เป็นสัปดาห์

และผู้มีปัญหาโรคไตก็ควรระวังการดื่มกินน้ำย่านางจำนวนมากๆ ต่อเนื่องด้วย

ถ้าในช่วงหน้าร้อนๆ อากาศร้อนๆ ต้มเฉพาะส่วนใบแม้เป็นยาเย็น ดื่มครั้งละแก้ว วันละ 3 เวลา กินต่อเนื่องสัก 3-4 วันก็ได้

เคล็ดลับที่ขอบอกให้รู้โดยทั่วกันว่าในภูมิปัญญาสุขภาพไทย-ลาวนั้น มีชื่อเอิ้นย่านางอีกชื่อหนึ่งว่า “หมื่นปี บ่เฒ่า” ซึ่งแฝงความหมายว่าผู้บริโภคย่านางเป็นประจำไม่ว่าในรูปอาหารหรือเครื่องดื่มจะช่วยชะลอวัย สุขภาพดี มีอายุวัฒนะ

ดังนั้น ในระหว่างรอฟังผลวิจัยยืนยันสรรพคุณสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ของย่านาง

คนไทยเราก็ดื่มน้ำ “หมื่นปี บ่เฒ่า” ไปพลางๆ ก่อนเด้อ