อุทธรณ์ยืน-คดี ‘ชัยภูมิ’ ชี้ทหารปกป้องตัวเอง ครอบครัวยันสู้ถึงฎีกา จี้เปิดวงจรปิดนาทียิง/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

อุทธรณ์ยืน-คดี ‘ชัยภูมิ’

ชี้ทหารปกป้องตัวเอง

ครอบครัวยันสู้ถึงฎีกา

จี้เปิดวงจรปิดนาทียิง

 

นับว่าเป็นอีกคดีความที่ท้าทายกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับกรณีของนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรม ด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 คาด่านตรวจรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2560

โดยระบุว่าเป็นการป้องกันตัวเอง เพราะนายชัยภูมิขนยาเสพติดเข้าด่าน และจะใช้ระเบิดมือขว้างใส่เจ้าหน้าที่

ขัดกับพยานชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ จนครอบครัวต้องต่อสู้เพื่อตามหาความยุติธรรมด้วยการพึ่งอำนาจศาล

ล่าสุดก็มีความคืบหน้า เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ในคดีที่ครอบครัวของชัยภูมิยื่นฟ้องแพ่งกองทัพบก โดยระบุว่าเป็นการป้องกันตัวโดยชอบแล้ว

แม้จะเคารพคำพิพากษา แต่ก็ยังค้านความรู้สึกของครอบครัว เนื่องจากหลักฐานสำคัญซึ่งก็คือกล้องวงจรปิด ที่อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ระบุว่าบันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย

นำมาซึ่งการเดินหน้ายื่นในชั้นฎีกาต่อไป

เรียกร้องให้เปิดหลักฐานทั้งหมดว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุความตายของชัยภูมิ

ไม่ให้ค้างคาใจ และเกิดคำถามต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะไม่เป็นผลดีเลยในอนาคต

ศาลอุทธรณ์ยืนคดีชัยภูมิ ป่าแส

สําหรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 โดยศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ พ2591/2562 ที่นางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนสิทธิมนุษยชน ชาวลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลย ให้ชดใช้ทางละเมิด กรณีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองทัพบก วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ เหตุเกิดที่ด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560

โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง ให้กองทัพบกไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย เนื่องจากเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย

ขณะที่ศาลอุทธรณ์เองมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัว

ทั้งนี้ นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความจากภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่เข้ามาช่วยเหลือในฐานะทนายโจทก์ ระบุว่า ขั้นตอนต่อไปสามารถยื่นฎีกาได้ภายในเวลา 30 วัน แต่ก็มีขั้นตอนที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายนัก เนื่องจากต้องให้ผู้พิพากษาที่นั่งบัลลังก์หรือตัดสินในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หรือทั้ง 2 ศาลที่ยกฟ้องคดีไปนั้น “รับรองว่าคดีนี้มีปัญหาสำคัญอันควรเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงหรือศาลฎีกา”

แต่ก็ยืนยันจะทำให้ถึงที่สุด เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของนายชัยภูมิ

นายรัษฎาระบุอีกว่า เหตุการณ์นี้ยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่อีกหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งที่หลังเกิดเหตุ ทั้งนายตำรวจระดับสูง และอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ต่างให้สัมภาษณ์ตรงกันว่าได้เห็นภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดแล้ว แต่ในชั้นการไต่สวนการตายของนายชัยภูมิ โดยศาลจังหวัดเชียงใหม่ก็ไม่ได้มีการนำมาเปิดเผย

นายรัษฎากล่าวอีกว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่ศาลแพ่ง ทางทนายความก็ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่เป็นกล้องวงจรปิด แถมมีเจ้าหน้าที่มาให้การต่อศาลด้วยว่ามีการทำสำเนาไว้ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำมาเสนอต่อศาล ซึ่งก็จะเป็น 1 ในประเด็นการยื่นฎีกาด้วย

ทนายความระบุอีกว่า นอกจากนี้ ที่ศาลระบุว่าเป็นการป้องกันตัวนั้น ก็เกิดคำถามกรณีเรื่องของยาเสพติด ว่าได้ตรวจสอบยาเสพติดที่พบหรือไม่ว่ามีสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมทั้งรอยนิ้วมือของนายชัยภูมิปรากฏอยู่อย่างไรบ้าง เพราะตามบันทึกสอบสวน พบว่าของกลางยาเสพติดที่พบนั้นมาจากทหารนำส่งให้กับตำรวจ แต่ก็ยังไม่มีการคลี่คลายในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด

“ที่สำคัญก็คือวงจรปิดที่มี ด่านรินหลวงเป็นด่านใหญ่ มีวงจรปิดอยู่ 9 ตัว มีห้องควบคุมชัดเจน เหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ควรนำมาเปิดเผย แม่เขาจะได้รู้ว่าลูกเขาตายอย่างไร ให้สิ้นสงสัยทั้งเรื่องนี้ และเรื่องกระบวนการยุติธรรม กลายเป็นคำถามว่าทุกภาคส่วนทำหน้าที่มากพอแล้วหรือไม่ ที่จะให้ความจริงปรากฏ และให้เกิดความยุติธรรมในสังคม”

ต้องมีคำตอบจากความตายของ “ชัยภูมิ”

มีแต่บิ๊กทหารได้ดูวงจรปิด

สําหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวันที่ 17 มีนาคม 2560 โดยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก. ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง ตั้งจุดตรวจยาเสพติดบริเวณด่านทหารสามแยกรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกรถเก๋งฮอนด้า แจ๊ซ สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ เพื่อตรวจค้น

จนกระทั่งพบยาบ้า 2,800 เม็ดอยู่ในกรองอากาศรถ จึงจับกุมนายพงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี ชาวบ้านแม่ก๊ะ ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนขับรถ โดยขณะนั้นนายชัยภูมิ ป่าแส ชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ที่นั่งข้างคนขับ ชักมีดออกมา แล้ววิ่งหนีไปประมาณ 200-300 เมตร

เมื่อเจ้าหน้าที่วิ่งตามไปใกล้ถึงตัว ผู้ตายก็เงื้อระเบิดมือจะขว้างใส่ ทหารจึงยิงเอ็ม 16 เข้าใส่จนเสียชีวิต

หลังเหตุการณ์ทางญาติของนายชัยภูมิ ต่างพากันออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากนายชัยภูมิซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางสังคม และไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 ขณะนั้น ระบุว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน เคยถูกเจ้าหน้าที่ล่อซื้อ โอนเงินมัดจำเสร็จสรรพ แต่พอนัดส่งยา นายชัยภูมิหนีได้หวุดหวิด แถมยังโทรศัพท์ข่มขู่พยาน โดยตำรวจกำลังจะขอหมายจับ แต่ก็ถูกทหารวิสามัญเสียก่อน

พร้อมระบุว่ารถแจ๊ซของนายชัยภูมิ เป็นของเครือข่ายยาเสพติดที่กำลังหลบหนีคดี ทะเบียนที่ใช้ก็ของปลอม และพบเส้นทางการเงินเข้าออกมากผิดปกติ

พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ พบว่าเป็นการจับกุมตามปกติ ทหารไม่ถืออาวุธใดๆ เลยในตอนแรก นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ เป็นการตรวจค้นรถธรรมดา

จนกระทั่งขัดขืนจึงจับอาวุธขึ้นมา ทหารไปสอบถาม เพราะมีรถเข้ามาคันเดียว แหล่งซ่อนยาเสพติดก็ไม่มาก เด็กอีกคนไม่วิ่ง เพราะไม่รู้ว่ามียาซุกซ่อน นายชัยภูมิที่วิ่งหนีแล้วต่อสู้

“น้องพลทหารยิงเพียงนัดเดียว ขณะที่เขาทำท่าขว้าง ถ้าเป็นผม อาจกดออโต้ได้ เขาตั้งใจทำงานต้องให้กำลังใจเขา ยิงนัดเดียวก็สมเหตุสมผล ยิงตรงแขน แต่กระสุนชิ่งไปโดนจุดสำคัญ อันนี้ก็เป็นบุญของน้องเขา มีเพียงแค่นี้”

เช่นเดียวกับ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ก็ยืนยันว่าเห็นวงจรปิดแล้วเช่นกัน

 

เป็นวงจรปิดที่มีแต่บิ๊กทหารได้ดู!?!

ย้อนอีกเหตุ-จับตาย ‘ลีซู’

ไม่เพียงแค่นั้น ยังเกิดลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 โดยเป็นเหตุวิสามัญฯ นายอาเบ แซ่หมู่ อายุ 32 ปี โดยทหารในเขตพื้นที่รับผิดชอบของร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 เช่นกัน

โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าตรวจยาเสพติด ระหว่างนั้น นายอาเบขัดขวางการจับกุม และพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ด้วยการขว้างระเบิดใส่

คล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ!??

สำหรับนายชัยภูมินั้นเป็นชาวลาหู่ วัยเพียง 17 ปี เป็นนักกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม ดนตรี ภาพยนตร์ และกิจกรรมวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด

ผลงานเพลงของชัยภูมิ ได้แก่เพลงเพื่อคนไร้สัญชาติ ชื่อ “จงภูมิใจ” ผลงานภาพยนตร์สั้นได้แก่การเป็นทีมงานภาพยนตร์เรื่อง “เข็มขัดกับหวี” ได้รางวัลช้างเผือกพิเศษดีเด่น เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 16 จัดโดยมูลนิธิหนังไทย และ “ทางเลือกของจะดอ” ได้รางวัลชมเชยรัตน์ เปสตันยี

รวมถึงร่วมเป็นทีมงานในสารคดีที่ผลิตโดยกลุ่มรักษ์ลาหู่ เช่น รายการ “บ้านเธอก็บ้านฉัน” ออกอากาศทางช่องไทยพีบีเอส

ชัยภูมิยังได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูการเต้นแจโก่ของชาวลาหู่จนได้รับการยอมรับในหมู่บ้าน เป็นผู้นำคณะเด็กและเยาวชนกลุ่มรักษ์ลาหู่จากบ้านกองผักปิ้งออกแสดงในหลายพื้นที่ ล่าสุดร่วมกับศิลปินญี่ปุ่นจากเมืองโอซากาทำนิทานเพลงเรื่องขนมออฟุและตำนานภาษาลาหู่

ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรม และทุกคนในสังคมแวดล้อมเชื่อมั่นว่าไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมมีภาพนิ่งขณะทหารตรวจค้น นายชัยภูมิยังช่วยเจ้าหน้าที่เปิดฝากระโปรงรถด้วยซ้ำ

จนจินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาที ทำไมชัยภูมิจึงวิ่งหนีแล้วควักระเบิดที่ไม่รู้ว่าซุกซ่อนอยู่ตรงไหน ปาใส่เจ้าหน้าที่ได้

ตราบใดที่ไม่เปิดวงจรปิดให้เห็นกันชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

คำถามเหล่านี้ก็จะวนเวียน เป็นรอยแผลในสังคมตราบนานเท่านาน!!!