สิ่งที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจ/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

สิ่งที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจ

 

ที่บ้าน…

ก่อนถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ป้าซึ่งเป็นแม่บ้านมาบอก เค้าแจกมาหัวละพัน ป้ากับลูกรวม 4 คนรับมาแล้ว แต่ลูกกลับบอกว่าจ่ายมาก็รับไป ดัดสันดานให้เข็ด ไม่เลือกคนพรรค์นั้น ป้าไม่สบายใจเลย…

ตั้งแต่โบราณมีคำกล่าวว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ขึ้นชื่อว่าคนฉ้อฉลย่อมจะต้องใช้ทุกกลวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะและสิ่งที่ต้องการ

สังคมมีทั้งคนดีคนไม่ดี ในเวทีการเมืองยุคไหนๆ ก็มีทั้งที่ใช้ความดี ใช้นโยบาย และใช้เงินซื้อเสียง แต่นั่นไม่ใช่ “เหตุ” ที่จะให้ทหารใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการก่อรัฐประหาร เพราะถ้าจะว่าไปแล้วการใช้ “ปืน” ปล้นชิงอำนาจป่าเถื่อนกว่าการใช้ “เงิน”

ดังจะเห็นได้จากประสบการณ์ทางการเมืองของ “ป้า” กับลูกที่ทำให้เกิดสำนึกใหม่

“ป้ากับลูกทั้งสามไม่เลือกผู้สมัครที่จ่ายให้มา 4 พันบาท”

การเลือกตั้งซ่อม “จตุจักร-หลักสี่” มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น!

 

กล่าวสำหรับนักรัฐประหารแล้วเมื่อช่วงชิงอำนาจมาจากพลเรือนแล้วทุกคนที่ไม่เคยรู้จักพอ ไม่รู้จักหยุดจะต้องทำทุกอย่างเพื่อ “รักษาอำนาจ” นั้นไว้ให้นานที่สุด แม้แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ยาวนานที่สุดถึง 15 ปี 24 วัน สุดท้ายก็ยังวางแผนครองอำนาจต่อด้วยการปรุงแต่งแปลงโฉม หวังจะเปลี่ยนจาก “กระบอกปืน” มาเป็น “พรรคการเมือง”

จอมพล ป.ตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาจัดทัพสู้ศึกเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในปี 2500 แต่โกง เปิดปลายคางให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ตัวเองปั้นมากับมือฉวยโอกาสรัฐประหารแล้วอัปเปหิจอมพล ป.ออกนอกประเทศ

สฤษดิ์ขึ้นมาก็ตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า “ชาติสังคม” แต่พอสฤษดิ์ตาย พรรคการเมืองก็ล่มสลาย จอมพลถนอม กิตติขจร สืบทอดอำนาจก็ตั้งพรรค “สหประชาไทย” กระทั่ง 3 ทรราชถูกขับออกนอกประเทศ พรรคถนอมก็สิ้น

หลังรัฐประหารกุมภาพันธ์ 2534 “รสช.” พลิกแพลงขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการขู่เข็ญกดดันให้ “พรรคสามัคคีธรรม” รวมหัวกับอีก 4 พรรคการเมืองสนับสนุนให้ “สุจินดา” เป็นนายกรัฐมนตรี จนนำไปสู่การจลาจลนองเลือด “พฤษภาทมิฬ” ในปี 2535

วันนั้น ทหารสงบเสงี่ยมกลับเข้ากรมกอง กองทัพเสื่อมทรามตกต่ำชนิดที่ไม่เคยประสบมาก่อน “ผบ.ทบ.” ในเวลาต่อมาถึงกับประกาศว่า ทหารจะไม่ยุ่งการเมือง

 

แต่ทิ้งช่วงไปได้แค่ 15 ปี ทายาทอสูรทางการเมืองก็ก่อรัฐประหารอีกครั้งในเดือนกันยายน 2549

กว่าครึ่งศตวรรษที่ล่วงผ่าน ทัศนคติไม่เปลี่ยน ไม่มีการถอดบทเรียน ไม่มีการพัฒนา

ตั้งแต่รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 เป็นต้นมา ทหารอ้างเหตุ “ทุจริตคอร์รัปชั่น” แตกแยกสามัคคี ประเทศไม่มีความมั่นคง ซ้ำๆ เดิมๆ จนผู้คนขำไม่ออก

หลอกกันอยู่ได้ ท่วงท่าของทหารไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร พอฉีกรัฐธรรมนูญเสร็จก็จะนิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเอง จากนั้นใช้ทหาร ใช้ตำรวจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องทำลายกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ครอบงำกลไกองค์กรที่ควรจะเป็นกลาง แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการโดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ เลือกเอาแต่พรรคพวกที่พร้อมรับใช้ “เห็บ” จึงได้ก่อตัวเป็นขบวนการสูบเลือดประเทศ

ตราบเท่าที่เหยื่อยังสมบูรณ์อ้วนพี เห็บก็ยังคงมีความร่วมมือร่วมใจ นายจะเอาอะไร จะเอาอย่างไร ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ การเมืองกลายเป็นการเมืองของชนชั้นผู้ได้เปรียบที่มี “ปืน”

เมื่อใช้อำนาจจากปืนเขียนกติกาใหม่ปูทางสู่การสืบทอดอำนาจเสร็จก็จัดให้มีการเลือกตั้งซึ่งทุกครั้งจะต้องมี “พรรคทหาร” หรือที่ทหารหนุนหลัง

หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ก็เช่นเดียวกัน

ปูทางยาวนานกันด้วยยุทธศาสตร์ 20 ปี

แม้ไทยจะเป็นแค่ประเทศเล็กๆ แต่บ่อยทีเดียวที่ได้ผู้นำทำตัวใหญ่โตโอ่อ่า ถมึงทึงตึงตัง สบถเสียงดังคุกคามผู้คนจนเป็นนิสัย ในขณะที่สถานะของประเทศกับชีวิตประชาชนมีแต่แย่ลง

 

เมื่อวันตรุษจีนที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป “คำขอ” จาก นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha นับว่าทันยุคทันสมัยที่สุด

อาจารย์หมอเริ่มจากว่า “ปีใหม่นี้ ขอให้คนไทยไม่ทนต่อการคอร์รัปชั่น การทำงานเอาหน้า และผักชีโรยหน้า”

ทั้งยังเจ็บสุดสะดุดใจทุกถ้อยสำนวน!

“หัวหน้างาน ไม่ว่าระดับใด มีหน้าที่ต้องช่วยให้งานขององค์กรสำเร็จ ไม่ใช้ป้ายความล้มเหลวให้ลูกน้อง”

ขอให้ระบบการทำงานไม่ซ้ำซ้อน ไม่ใช่ภาระงานเป็นกระดาษเป็นตั้ง ขอให้ทำงานอิสระ

ขออย่าให้เห็นการตั้งกรรมการเป็น 10 ชุด อนุกรรมการเป็น 30 ชุด อวยกันไปอวยกันมา เอื้อกันไป

ขอให้ไม่มีนักวิชาการขายตัว ขอให้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำร้ายคนอื่นและประเทศชาติ ไม่ทำให้ใครตาย ขอให้เสือจัดการสิ่งไม่ดีของประเทศไปให้หมดทุกระดับ ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร รื้อระบบการศึกษา การสาธารณสุขให้ตรงกับความเป็นจริง ขอให้กำจัดสารเคมีมลพิษในน้ำ อาหาร อากาศที่ทำให้คนไทยตาย

ไม่รู้ว่า “อาจารย์หมอ” ไปเจออะไรมา

ขยะใต้พรมทั้งหลาย ข้าราชการสอพลอไร้ความสามารถ การเรียกรับผลประโยชน์แทบทุกงานการอนุญาต ผลประโยชน์ทับซ้อน กินซ้ำกินซ้อน “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คุณอยู่มาเกือบจะ 8 ปีเข้าไปแล้ว มีอะไรดีขึ้นบ้างหรือไม่

ทำไมดัชนีความโปร่งใสของประเทศไทยแย่ลงทุกปีๆ ปีนี้ร่วงจากอันดับ 104 ไปถึง 110!?!!!