ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 สิงหาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER
“ความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน”
กำกับการแสดง,Bonni Cohen และ Jon Shenk
นำแสดง Al Gore, George W. Bush, John Kerry, Angela Merkel, Barack Obama, Vladimir Putin, Donald J. Trump
รายชื่อนักแสดงข้างต้นเป็นบุคคลระดับผู้นำของประเทศมหาอำนาจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทุกคนแสดงเป็นตัวเองเนื่องจากนี่เป็นหนังสารคดี และใช้บทสัมภาษณ์หรือไม่ก็ตัดต่อจากคลิปข่าวการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ
ค.ศ.2000 อดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต ชิงชัยในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีกับ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน อัล กอร์ พ่ายแพ้อย่างฉิวเฉียดเพียงไม่กี่พันคะแนน ถึงขั้นต้องให้ศาลตัดสิน
การอกหักจากตำแหน่งประธานาธิบดี หันเหชีวิตไปมุ่งมั่นในเส้นทางกอบกู้โลกอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือการรณรงค์เพื่อความอยู่รอดของโลกสีฟ้าครามใบที่เราอยู่นี้ ซึ่งตกอยู่ในอันตรายจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อย่างที่เราเรียกง่ายๆ
ว่า “ภาวะโลกร้อน”
น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายลงอย่างรวดเร็วในอัตราอันที่น่าเป็นห่วง
…อันเป็นผลจากภาวะเรือนกระจก
…อันเป็นผลจากภาวะมลพิษ และการใช้พลังงานฟอสซิลอย่างไม่บันยะบันยัง
…อันเป็นผลจากการขาดความรู้ที่ถูกต้องและความโลภของอุตสาหกรรมพลังงาน
…และการมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์และขาดความรับผิดชอบ…
ค.ศ.2006 An Inconvenient Truth ซึ่งเล่าเรื่องจากความพยายามของ อัล กอร์ ในการรณรงค์เรื่องความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศของโลก ปรากฏสู่สายตาสาธารณะ ในลักษณะของ “ความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน” หรือ ความจริงที่เป็นเรื่องไม่สะดวกสบายต่อเรา
และได้รับรางวัลออสการ์สาขาสารคดีเรื่องยาวยอดเยี่ยมไป
และต่อมา อัล กอร์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ใน ค.ศ.2007 จากความอุตสาหะพากเพียรต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลถึงความอยู่รอดของโลกที่เราอยู่ใบนี้
หลังจากนั้นอีกสิบปี หนังเรื่อง Inconvenient Truth ภาคสองตามต่อจากภาคแรก แสดงให้เราเห็นว่า อัล กอร์ ยังคงต่อสู้ไม่ยอมหยุดในเรื่องนี้อยู่
นอกจากตระเวนบรรยายไปทั่วโลกแล้ว งานหลักๆ ที่เขาทำอย่างต่อเนื่องคือการอบรมคนรุ่นใหม่จากทั่วโลกเพื่อสร้างความตระหนักและมีจิตสำนึกต่อโลกสีเขียวใบนี้ของเรา ซึ่งตกอยู่ใต้การคุกคามของภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้สภาพอากาศรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือน้ำท่วมใหญ่
สถิติและประสบการณ์จริงจากภัยธรรมชาติบอกเราชัดเจนแล้วในเรื่องนี้
อัล กอร์ บอกว่าข้อมูลจากหนังเรื่อง Inconvenient Truth ที่บอกว่าน้ำจะท่วมนิวยอร์ก โดยเฉพาะสถานที่ตั้งเดิมของตึกเวิลด์เทรด เป็นสิ่งที่หลายคนคิดว่าเขาพูดอะไรเว่อร์จนเกินไป แต่เฮอร์ริเคนแซนดี้ที่พัดเข้าทำลายและก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั้งบริเวณอนุสรณ์สถานของวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่ตึกคู่เวิลด์เทรดโดนถล่มนั้น เป็นประจักษ์พยานให้เห็นแล้วว่า คำทำนายของเขาไม่ได้เกินจริงเลย
ภาวะโลกร้อนทำให้ภูมิอากาศรุนแรงขึ้น สร้างความเสียหายให้แก่โลกและมนุษย์บนโลกมากขึ้น
สถิติบอกว่าเฮอร์ริเคนแซนดี้ทำให้คนตายอย่างน้อย 53 คน บ้านเรือนถูกทำลายนับพันๆ หลัง รถยนต์เสียหายราวสองแสนห้าหมื่นคัน น้ำท่วมถนนหนทางและรางรถไฟ ประมาณมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นถึงสามหมื่นสองพันล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านั้น เราก็ได้เห็นเฮอร์ริเคนแคทรินาสร้างความเสียหายอย่างยับเยินแก่ทรัพย์สินและชีวิตผู้คนมาแล้วในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ
ความพยายามจะเฝ้าระวังโลกใบนี้อย่างใกล้ชิดด้วยโครงการส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกคอยตรวจดูสภาพภูมิอากาศ ถูกประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ยุบโครงการไป…น่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง
หนทางแก้ไขที่ อัล กอร์ เสนอและต้องการสร้างจิตสำนึกสาธารณะ คือ การรณรงค์ให้ใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ โดยเลิกหรือลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ และยังทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนที่สร้างภาวะเรือนกระจกแก่โลกของเราอีกด้วย
ใน ค.ศ.2005 อินเดียซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาของโลกที่สาม กำลังจะสร้างโรงไฟฟ้าใช้ถ่านหินใหม่ถึงสี่ร้อยแห่ง เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมาขึ้นในประเทศ และถ่านหินยังคงเป็นทางเลือกที่ใช้เงินลงทุนน้อยที่สุด
ด้วยความเป็นประเทศยากจนและตามหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอยู่ถึงร้อยห้าสิบปี นายกรัฐมนตรี นาเรนดา โมดิ บอกว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่จะลงทุนในพลังงานสะอาด
จนกระทั่ง อัล กอร์ เจรจาให้องค์กรเกี่ยวกับพลังงานสะอาดให้ความสนับสนุนด้านการลงทุนแก่อินเดีย
นับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่อีกครั้งสำหรับการกอบกู้โลก
แต่ขณะที่ผู้นำทั่วโลกกำลังเดินหน้ามุ่งสู่ความตระหนักในการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทางเลือก เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม ในการลงนามข้อตกลงเรื่องภูมิอากาศที่ปารีสใน ค.ศ.2016 ที่กรุงปารีส
ผู้นำสหรัฐคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ ก็ประกาศถอนตัวออกจากการมีส่วนร่วมในข้อตกลงนั้น ด้วยการปฏิเสธไม่รับรู้ถึงวิกฤตภูมิอากาศของโลก และนโยบายเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว ที่บอกว่า Make America great again!
ช่วงนี้ทั้งหมด หนังใช้คลิปข่าวตัวจริงเสียงจริงเพียงสั้นๆ อย่างที่เรายังไม่ลืมกัน เพราะตกเป็นข่าวเมื่อต้นปีนี้เอง หนังไม่ได้มีคอมเมนต์ใดๆ แต่ก็ต้องถือเป็นการประจานอย่างโจ่งแจ้งถึงนโยบายอันไร้วิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐ
หลายคนวิจารณ์หนังเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน
แต่จะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่อย่างไรก็ตาม การกอบกู้ให้รอดพ้นจากหายนภัยอันใหญ่หลวงแบบยั่งยืน ก็เป็นวิสัยทัศน์ที่ควรยกย่องอย่างยิ่ง
ขอปรบมือดังๆ ให้แก่ อัล กอร์ ที่ยังคงรณรงค์เพื่อโลกที่เราอยู่ และทำตัวสมกับที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ