เปลี่ยนนายกฯ… หรือเลือกตั้งใหม่/หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว มุกดา สุวรรณชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว

มุกดา สุวรรณชาติ

 

เปลี่ยนนายกฯ…

หรือเลือกตั้งใหม่

 

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2564 ทีมวิเคราะห์และประเมินว่าความแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคนี้จะแบ่งเป็น 2 พรรคการเมือง

กลุ่มหนึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้นำ และกลุ่มหนึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีเสียงใกล้เคียงกันในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือประมาณ 60-70 เสียง

แต่คิดว่าการแตกแยกนี้ยังจะไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล เกมนี้จะถูกลากไปจนถึงประมาณเดือนกันยายน 2565 หลังการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ

แต่เหตุการณ์ที่กลุ่มผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ขอร้องให้พรรคขับออกจากพลังประชารัฐแล้วจะย้ายไปอยู่พรรคอื่นรวม 21 คน ทำให้การลากยาวของรัฐบาลประยุทธ์ไปถึงปลายปีทำได้ยากแล้ว

มีคนกล่าวว่านี่คือสัญญาณเปลี่ยนหัว

เป็นสัญญาณที่มีความเห็นพ้องตรงกันทั้งจากพลังนอกระบบ ในระบบ และเหนือระบบ

ไม่ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพวกพ้องจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นตามขั้นตอน เพราะนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโดยใช้กำลังอาวุธมารัฐประหาร แต่เป็นการยึดอำนาจทางการเมือง ผ่านพรรคการเมือง ผ่านสภา ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560

และที่สำคัญต้องเปลี่ยนเพราะความไม่พอใจของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน

 

ผลของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ คือ…

พล.อ.ประวิตรจะดูแล

ทั้งพลังประชารัฐและพรรคใหม่

การย้ายกลุ่มออกไป 21 คน ด้วยเสียง 3 ใน 4 ของ ส.ส.+กรรมการบริหาร ที่เข้าร่วมประชุมแบบฉุกเฉินและมีมติตามที่กลุ่มผู้กองธรรมนัสต้องการ หมายความว่าทั้ง ส.ส.และกรรมการบริหารส่วนใหญ่เห็นด้วยกับวิธีนี้

ถ้ากลุ่มของผู้กองธรรมนัสลาออกตามมาตรา 101(8) ก็พ้นสภาพ ส.ส.โดยไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าถูกขับออก ตามมาตรา 101(9) ทั้ง 21 คนก็มีโอกาสไปเข้าสังกัดพรรคที่เตรียมไว้แล้วเพื่อรักษาสภาพ ส.ส.ไว้ และเดินงานการเมืองต่อไป

ถามว่าทั้งกรรมการและ ส.ส.จะไม่รู้เลยหรือว่าเมื่อคนกลุ่มนี้ออกไปจะสร้างปัญหาให้กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้ในสภาผู้แทนฯ จะมีผลรุนแรงถึงขั้นรัฐบาลล้มได้และต้องยุบสภา และอาจจะต้องสู้กันในการเลือกตั้งครั้งใหม่

ชาวบ้านทั่วไปก็รู้ และกรรมการบริหารพรรคก็รู้ แสดงว่าเกมนี้ถูกกำหนดขึ้น และจู่โจมกระทำการเพื่อต่อรองและกดดันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ถ้าสังเกตคะแนนเสียงคนที่ขับออกประมาณ 87 คน และจำนวนคนที่ถูกขับออก 21 คน แสดงว่าเป็นความร่วมมือของคนจำนวนมากในพรรคพลังประชารัฐ

แสดงว่าเสียงของ ส.ส.และกรรมการส่วนใหญ่ในพรรคที่เหลือยังเป็นของ พล.อ.ประวิตรอยู่ดี

ดังนั้น แม้กลุ่มผู้กองธรรมนัส 21 คนจะออกไปอยู่พรรคเศรษฐกิจใหม่ หรือพรรคการเมืองอื่น ที่มีการเตรียมรองรับไว้ของ พล.อ.ประวิตร ส่วนพลังประชารัฐ สถานการณ์ในขณะนี้ พล.อ.ประวิตรก็ยังควบคุมได้อยู่เหมือนเดิม

ดังนั้น พล.อ.ประวิตรจึงเตรียมจับปลา 2 มือ ถือเบ็ดสองคัน

 

นายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์

จะต้องจบลงในสมัยนี้

และน่าจะอยู่ต่อได้อีกไม่นาน

ทางเลือกขณะนี้คือนายกฯ ยอมปรับ ครม.ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยแก่กลุ่มของผู้กองธรรมนัส

ถ้าเป็นแบบนี้ทุกกลุ่มก็จะพยายามทำมาหากินร่วมกันต่อไปอีกระยะหนึ่ง

อีกทางหนึ่งก็คือ ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมเสียหน้า ลากรัฐบาลไปต่อเท่าที่ลากได้ ถึงเวลาก็ยุบสภา

แต่ถ้าทำอย่างนี้ในช่วงท้าย โอกาสที่จะไม่มีพรรคใดส่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปได้สูง ในทางการเมืองและทางการบริหารก็จะมีปัญหาวุ่นวายไปหมด จะมีการขว้างกล้วยเข้าใส่กันในสภา

ถ้าประยุทธ์จะสู้ต่อไม่ยอมแพ้ จะต้องหาพรรคการเมืองของตนเองเตรียมไว้ และถ้ามั่นใจว่าประชาชนยังรักตัวเองตามที่ผลโพลของสำนักเชลียร์ทั้งหลายบอก ก็ลุยได้เลย

แต่รับประกันว่าในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหม่ ทุกเรื่องที่ไม่ดี จะมีพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลยกบาปและความไม่ดีทั้งหลายไปให้อดีตนายกฯ ประยุทธ์รับไว้แต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้น แม้ออกไปตั้งพรรคเองและได้ ส.ส.มาจำนวนหนึ่ง โอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยากมากๆ

ถ้านายกฯ ทำตามที่ลั่นปากไว้ว่าจะไม่ยุบสภา ไม่ปรับ ครม.ก็ต้องเจอการอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน และคะแนนเสียงที่ได้รับทำให้จะต้องลาออก

ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหาคือใครจะมาเป็นนายกฯ ต่อจากประยุทธ์

แต่ทีมวิเคราะห์คาดว่า นายกฯ ประยุทธ์ต้องเลือกยุบสภา เพราะอับอายน้อยที่สุด

 

พรรคการเมืองอื่นๆ

ต่างก็เร่งสร้างเสริมพรรค

เพื่อดัก ส.ส.

เกมนี้ทำให้พรรคการเมืองทั้งใหม่และเก่ารู้สึกว่าการเลือกตั้งอาจจะมาเร็วขึ้นและผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องได้รัฐบาลผสมหลายพรรคอย่างแน่นอน

ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหม่จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากที่จะชูนโยบายว่าไม่เอาประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ แต่ก็อาจจะมีบางพรรคที่กล้าชูว่าจะเอาประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ เพื่อดึงคะแนนเสียงส่วนน้อยให้ตนเองได้เป็น ส.ส.

ทีมวิเคราะห์หวังอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์จะลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า จะได้พิสูจน์ผลโพลของสำนักต่างๆ ว่าที่ผ่านมาทำจริงหรือทำหลอก

แต่พรรคเล็กและพรรคใหม่ส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าใครจะเป็นนายกฯ แต่หวังจะร่วมรัฐบาลผสมเท่านั้น แต่ต้องมี ส.ส. 7-8 คน จึงจะมีสิทธิ์ได้นั่งรัฐมนตรี การดึงนักการเมืองตัวเก็งตัวเด่นจากท้องถิ่นต่างๆ เตรียมเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องที่แย่งชิงกันอย่างมาก

พรรคการเมืองที่มีศักยภาพที่แท้จริงไม่น่ามีกี่พรรค และพรรคที่มีสิทธิ์ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญก็ต้องมีไม่น้อยกว่า 20 เสียง ดูแล้วโอกาสของพรรคที่เกิดใหม่ทั้งหลายในปีนี้คงโตยากมาก น่าจะเป็นพรรคต่ำ 10 และพรรคต่ำ 5

 

ความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตย

นอกจากให้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนเลือกนายกฯ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังเปิดช่องให้มีการซื้อขาย ส.ส. ถือเป็นช่องโหว่ในการทำลายระบอบประชาธิปไตย

เพราะมาตรา 101(9) ที่เขียนไว้ว่าการสิ้นสุดสมาชิกภาพของ ส.ส.เนื่องจากถูกขับ…พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก ตามมติของพรรคการเมืองนั้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมือง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น

ในกรณีเช่นนี้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น มิได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ให้ถือว่าสิ้นสุด สมาชิกภาพนับแต่วันที่พ้นสามสิบวันดังกล่าว…

นี่คือกฎหมายเปิดช่องให้มีการซื้อขาย ส.ส. ถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายความน่าเชื่อถือของสภา

ปรากฏการณ์การย้ายพรรคของ ส.ส.จากการยุบพรรคหรือจากการถูกขับออกจากพรรคจะเห็นว่าเป็นการต่อรองเรื่องอำนาจและเงิน การซื้อ ส.ส.ให้เข้ามาอยู่ในสังกัดของพรรคซึ่งใหญ่กว่า มีเงินมากกว่า นี่เป็นช่องโหว่ในรัฐธรรมนูญช่องใหญ่ซึ่งเปิดโอกาสให้ ส.ส.ขายตัวได้ ขายเสียงโหวตได้ทั้งแบบเปิดเผยและปิดบังซ่อนเร้น

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น มี ส.ส.ต้องออกจากพรรคก็ควรจะให้อำนาจประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจใหม่ว่า เขาจะเลือกตั้งซ่อมให้ใครเป็นผู้แทนฯ อาจจะเลือกคนเดิม หรือคนใหม่ก็ได้ พรรคเดิมหรือพรรคใหม่ก็ได้ แต่ไม่ควรเปิดช่องว่างให้ออกจากพรรคเดิมย้ายไปพรรคใหม่ได้ตามใจชอบ

เพราะการเป็น ส.ส.ไม่ใช่นักฟุตบอล แต่ได้เป็นเพราะเสียงประชาชนตัดสินใจเลือกเพราะตัวบุคคลและพรรค หรือนโยบายของพรรค เขาจึงเรียกผู้แทนฯ หมายถึงเป็นตัวแทนประชาชน ไม่ใช่คิดจะย้ายข้าง เปลี่ยนใจ ย้ายพรรค แลกผลประโยชน์ก็ทำได้ ต้องหยุดการซื้อขาย ส.ส. มิฉะนั้นเลือกตั้งไปก็ไร้ความหมาย

 

เส้นทางเดินของกลุ่มผู้กองธรรมนัส

และการเลือกตั้งใหม่

กลุ่มนี้มั่นใจในศักยภาพตนเองว่า ถ้าเลือกตั้งใหม่จะหา ส.ส.มาอยู่ในพรรคใหม่ได้ 30-40 เสียง และสามารถแบ่งโควต้ารัฐมนตรีได้เป็นกอบเป็นกำ

ทางที่ดีที่สุดปลอดภัยที่สุด จะต้องเร่งล้มรัฐบาลชุดนี้เพื่อเลือกตั้ง ใหม่ เพราะการเข้าไปร่วมรัฐบาลและยืดเวลาออกไปอาจมีเหตุการณ์ต่างๆ ในทางกฎหมาย ทางคดี ที่มีผลให้เกิดการกระทบทางการเมืองต่อแกนนำและ ส.ส.ได้

แต่ในความเป็นจริง กลุ่มธรรมนัสและพรรคอื่นๆ ก็ยังไม่มีใครพร้อมเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังรอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สถานการณ์แรงบีบจากเกมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนพฤษภาคมเป็นจังหวะเหมาะสมที่น่าจะเกิดการยุบสภา ฝ่ายรัฐบาลก็ยังมีเวลาหาเสบียงอีก 3 เดือน

ที่วิเคราะห์กันมาเป็นการวิเคราะห์เพียงชั้นเดียว ทีมงานคิดว่าแม้มีการต่อสู้แย่งชิงทางการเมืองกันในพรรคพลังประชารัฐ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นการฉวยโอกาสถอยแบบปลอดภัยของกลุ่ม 3 ป.ที่ซ้อนแผนไว้อีกชั้น

อีก 2-3 สัปดาห์ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มจะมาวิเคราะห์ให้อ่านกันต่อไป