ธุรกิจพอดีคำ : “โรงกลั่น ข้อมูล”

ร้อยกว่าปีที่แล้ว

ยุคที่ “เครื่องจักรไอน้ำ” กำลังฟูเฟื่อง

อุตสาหกรรมเกิดการ “ปฏิวัติ”

ใครที่สร้าง “โรงงาน” มีการผลิตของ

ยุคที่ “เหล็กกล้า” คือต้นทุนชิ้นใหญ่ของทุกธุรกิจ

ใครที่มี “เหล็ก” ไว้ในครอบครองมาก

ก็สามารถจะ “ผลิต” สินค้าต่างๆ นานาได้มาก

เป็น “ความได้เปรียบ” ทางธุรกิจในยุคนั้น

หลายสิบปีผ่านไป

“เครื่องยนต์” ได้ถือกำเนิดขึ้น

เครื่องยนต์ที่ทำงานโดยใช้ “น้ำมันเชื้อเพลิง”

มิใช่เครื่องจักรไอน้ำอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ผลิตสินค้าใดๆ

หรือเครื่องยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง

ล้วนแล้วแต่ใช้ “น้ำมัน” เป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น

ใครที่มี “น้ำมัน” ไว้ในครอบครอง

ก็ไม่ต่างกับได้ “ทอง”

บริษัทน้ำมัน ถือกำเนิดขึ้นในทุกมุมของโลก

ทำธุรกิจ คอยป้อน “น้ำมัน” ให้กับเครื่องจักรทั่วโลก

สร้างความมั่งคั่งกันมาอีกเกือบหนึ่งร้อยปี

จนมากระทั่งวันนี้ ในยุคที่ทุกอย่างเป็น “4.0”

น้ำมันเริ่มที่จะมี “มูลค่า” น้อยลง

กลับมี “สิ่งหนึ่ง” ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ใครๆ ก็อยากได้มาไว้ในครอบครอง

ลองจินตนาการย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อน

วันที่ผู้คนต่างทำงานหาเช้ากินค่ำ

ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บลงไห ลงหีบ

อยากจะใช้เมื่อใด ก็หยิบออกมาจับจ่ายซื้อของ

หากไม่ได้ใช้ “เงิน” ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น

ทุกบ้านเหมือนกันหมด มี “เงิน” เก็บไว้

เป็นสัญญาณบ่งบอกความ “มั่งคั่ง” ของตัวเอง

จนอยู่มาวันหนึ่ง มี “คนหัวหมอ” คิดการใหญ่

เขาเดินเข้าไปที่บ้านแต่ละบ้าน สอบถามถึง “เงิน” ที่เก็บอยู่ในหีบ

แล้วยื่นข้อเสนอน่าสนใจ

ถ้าเอาเงินมาให้เขาเก็บให้ เขาจะมี “เงินทอน” ให้เล็กๆ น้อยๆ

เอามาฝากกับเขา 100 บาท เขาจะคืนให้ 105 บาท

เรียกได้ว่า เจ้าของเงิน “กำไร” แน่นอน 5 บาท โดยที่ไม่ต้องทำงานเลย

ถ้าอยากจะเอาเงิน 100 บาทคืนเมื่อใด ก็บอกเขาได้ทุกเมื่อ

ไม่มีการเสียสภาพคล่อง

สนใจมั้ย

คนส่วนใหญ่ก็เกิดสนใจ

แหม ไม่ต้องทำงาน แถมได้เงินเพิ่ม ทำไมจะไม่ลองดู

“คนหัวหมอ” ไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เป็นร้อยๆ บ้าน

นำเงินของแต่ละบ้านมารวมกัน กองไว้ที่ “บ้านตัวเอง”

แล้วเริ่มปฏิบัติการขั้นที่สอง

เขาเดินออกไปในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ที่กำลังก่อร่างสร้างเมืองกันใหญ่โต

แน่นอน ต้องการ “เงิน” มาช่วยก่อสร้าง

เขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เคาะประตูเรียกลูกบ้าน

ยื่นข้อเสนอให้ยืมเงินก้อนใหญ่

ถ้ายืม 100 บาท ตอนคืน ก็ขอให้คืน 107 บาท

หลายหมู่บ้านเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเมือง โดยที่ยังไม่ต้องมี “เงิน” สักบาท

จึงเข้าร่วม “โครงการ”

ปลายปี “คนหัวหมอ” หักลบกลบหนี้แล้ว จ่ายออกไป 5 แต่ได้คืนมา 7 คิดเป็นกำไร 2 บาทเหนาะๆ

เกิดเป็นธุรกิจ “ธนาคาร” ขึ้นมาได้ในที่สุด

“เงิน” ถ้าอยู่ในไห ก็ไม่สร้างประโยชน์

แต่ถ้านำมารวมกัน ก็ทำให้เกิด “มูลค่า” ใหม่ได้

เฉกเช่นเดียวกับ “ข้อมูล (data)”

ถ้าต่างคนต่างมี เก็บไว้ต่างที่กัน ประโยชน์ก็จะ “จำกัด”

หากผมชอบอ่านหนังสือด้าน “จิตวิทยา” และ “นวัตกรรม”

เพื่อนของผมชอบอ่านด้าน “ประวัติศาสตร์” และ “นวัตกรรม”

ถ้าข้อมูลนี้ ไม่เชื่อมโยงถึงกัน

ผมก็จะไม่รู้ว่า เพื่อนอ่านอะไร ทั้งๆ ที่ “ประวัติศาสตร์” กับเรื่องนวัตกรรม อาจจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็เป็นได้

เพื่อนของผมก็คงจะไม่มีโอกาสได้รู้ว่า หนังสือ “จิตวิทยา” มันก็เข้ากับเรื่องนวัตกรรมได้เช่นกัน

ใครที่เอาข้อมูลของผมและเพื่อนไป “วิเคราะห์”

ผมชอบหนังสือ “จิตวิทยา” และ “นวัตกรรม” ก็อาจจะชอบหนังสือ “ประวัติศาสตร์” ด้วยก็เป็นได้

กลายเป็น “ขายของ” ให้ผมได้ซะอย่างนั้น

รู้ว่าผมชอบอะไร ทั้งๆ ที่ผมอาจจะยังไม่รู้ตัว

บริษัทขายของออนไลน์ระดับโลกอย่าง “อเมซอน (Amazon)” ก็สามารถเติบโต มีมูลค่ามหาศาลได้จากการนำ “ข้อมูล” มา “วิเคราะห์”

เปลี่ยนเป็น “คำแนะนำ (Recommend)” ต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นนี่เอง

หรือแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ร้อยปีอย่าง General Electrics (GE) ก็หันมาใช้ประโยชน์จาก “ข้อมูล” ในโรงงานที่ตัวเองมีอยู่

สร้างเป็น “ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)” ที่สามารถ “พยากรณ์” ได้ว่า เครื่องจักรตัวใดกำลังจะ “เสีย”

และต้องการการเข้าไป “ซ่อมบำรุง” แบบทันที

ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ “ซ่อมบำรุง” แบบเดิมๆ ที่ทำเผื่อๆ ไว้ก่อน โดยไม่จำเป็น

วิธีการสร้าง “มูลค่า” ทางธุรกิจเหล่านี้

คนที่ทำได้ต้องมี “ข้อมูล (Data)” ปริมาณมาก

ใครมีมาก ก็มีโอกาสสร้างธุรกิจได้มาก

หาก “น้ำมันดิบ” ยังต้องการการ “กลั่น”

ทำให้เกิดน้ำมันชนิดต่างๆ เช่น เบนซิน ดีเซล

นำไปใช้สร้าง “มูลค่า” ได้แล้วฉันใด

“ข้อมูล” ที่เราๆ ท่านๆ มีกันอยู่มากมาย

จะเกิดประโยชน์ได้ ก็ต้องมีการนำมา “วิเคราะห์” โดยละเอียด จนเกิดเป็น “ประโยชน์ (Insight)” ฉันนั้น

จะใช้คนทำหรือ “เครื่องจักร” ทำ ที่เขาเรียกกันว่า Machine Learning ก็สุดแท้แต่

นี่แหละ โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต

คนที่เข้าใจเท่านั้น ที่จะ “ชนะ” ในเกมนี้