อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ซานไห่ เก้าคนหลังฉาก ในประวัติศาสตร์ผลัดใบ (5)

ที่เทียนสิน หว่านหรง องค์มเหสีของจักรพรรดิปูยียังคงพำนักอยู่ที่นี่ พระองค์หาได้เสด็จตามพระสวามีไป

สภาวะที่ตกเป็นผู้เสพติดฝิ่นขนาดหนักทำให้พระองค์เริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก

สภาพเช่นนี้ทำให้กองทัพกวางต่งของญี่ปุ่นไม่พอใจอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการสร้างภาพครอบครัวอันเพียบพร้อมของราชวงศ์ชิงที่แมนจูเรียภายใต้การดูแลของญี่ปุ่นให้โลกภายนอกได้พบเห็น

การที่องค์มเหสีอยู่ในสภาพเมามายและต้องอยู่ห่างไกลสายตาจากกองทัพกวางต่งทำให้เป็นที่หวาดหวั่นว่าสักวันหนึ่งพระองค์อาจถูกขุนศึกของจีนจับกุมเธอเป็นตัวประกันและใช้สร้างข้อต่อรองกับญี่ปุ่นเมื่อใดก็ได้

ทางเดียวที่กองทัพกวางต่งนึกออกคือต้องใช้คนในราชวงศ์ที่มเหสี หว่านหรง คุ้นเคย ไปเป็นทูตเจรจาเพื่อโน้มน้าวหรือนำตัวเธอออกเดินทางไปแมนจูเรียให้จงได้

และบุคคลที่เหมาะสมที่สุดนั้นไม่มีใครดีไปกว่า อ้ายชิง เจียวหลอเสียนอี๋ หรือโยชิโกะ คาวาชิม่า

น้องชายของโยชิโกะเล่าว่า เมื่อเธอได้รับคำสั่งจาก เซอิชิโร่ อิตาคากิ นายทหารผู้รับผิดชอบปฏิบัติการกองทัพในแมนจูเรียให้ทำหน้าที่โน้มน้าวมเหสีหว่าหรงนั้น โยชิโกะก็ออกเดินทางจากโตเกียวไปเทียนสินแทบจะทันที

หว่านหรงนั้นอภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิปูยีในปี 1922 ช่วงเวลาตอนนั้นแม้ว่าจักรพรรดิปูยีจะหมดอำนาจจากราชบัลลังก์แล้ว หากแต่พระองค์ยังคงสามารถพำนักอยู่ในพระราชวังต้องห้ามได้ ขณะนั้นปูยีมีอายุเพียงสิบหกปี ทว่า เหล่าขันทีและผู้ดูแลเขาคิดว่าเขาสมควรมีมเหสีได้แล้ว โดยที่เขาต้องเลือกคู่ชีวิตเอาจากรูปถ่ายหญิงสาวที่พวกนั้นจัดมาให้

ปูยีเล่าว่า “ใบหน้าเหล่านั้นเล็กเสียจนผมไม่อาจสังเกตได้ว่าพวกเธอมีความสวยงามเพียงใด มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีความสำคัญกับชีวิตผมอย่างมากในเวลาต่อมา”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเสกสมรสครั้งนั้นจะนำไปสู่ความล้มเหลว

หว่านหรงผู้แม้จะมีเชื้อสายของขุนนางแห่งราชวงศ์ชิงก็ตาม แต่ตัวเธอนั้นศึกษาในโรงเรียนของพวกมิชชันนารีฝรั่งเศสในเทียนสินมาตลอด

นอกจากภาษาฝรั่งเศสแล้ว เธอยังมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และมีทักษะด้านกีฬาเทนนิสเป็นเยี่ยม

ความเป็นตัวของตัวเองของเธอทำให้เป็นดังดาบสองคม ความคิดที่ว่าเธอจะนำพาราชวงศ์ชิงไปสู่โลกกว้างนั้นเป็นความคิดที่ถูก

แต่เมื่อราชวงศ์ชิงล้มสลายไป สิ่งเดียวที่หว่านหรงจะทำได้คือการดูแลครอบครัว และเมื่อพวกเขาถูกขับออกจากพระราชวังต้องห้าม หว่านหรงนั้นเองที่เป็นแถวหน้าในการเดินทางมาพำนักอยู่ที่เทียนสินอย่างไม่มีความอาลัยอาวรณ์ในอดีตเลย

อย่างไรก็ตาม สภาพที่เหมือนกับถูกคุมขังที่เทียนสินนำความทุกข์มหาศาลมาให้หว่านหรง ข่าวลือเรื่องการเป็นโฮโมเซ็กชวลขององค์จักรพรรดิปูยีก็ดี การถูกจำกัดค่าใช้จ่ายก็ดี อีกทั้งบรรดาสนมของปูยีที่กระด้างกระเดื่องจนแม้แต่ถ่มน้ำลายลงสนามหญ้าเมื่อเธอเดินผ่านก็ดี ทำให้เธอหันมาดับความทุกข์นั้นด้วยการพึ่งพาฝิ่น

เธอกลายเป็นคนเดียวในราชวงศ์ที่เสพฝิ่นอย่างจริงจัง

ขันทีที่ตามมาดูแลปูยีเล่าว่า “การปรนนิบัติองค์มเหสีหว่านหรงในขณะที่พระองค์เสพฝิ่นเต็มไปด้วยความยุ่งยาก คนรับใช้คนหนึ่งต้องคุกเข่ากับพื้นและคอยขยับที่เขี่ยเถ้าไปมาตามทิศทางของกล้องฝิ่น เพราะองค์มเหสีนั้นใช้กล้องฝิ่นพร้อมกันถึงสี่อันทีเดียว”

การติดฝิ่นอย่างหนักเช่นนี้ในภาวะปกติคงไม่เป็นไร แต่ช่วงเวลานั้นกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นในเทียนสินกำลังลงมือหนักข้อขึ้นทุกที มีความเชื่อว่าพวกเขาอาจบุกเข้าไปในที่พำนักของอดีตองค์จักรพรรดิและชิงตัวมเหสีหว่านหรงไป

โยชิโกะผู้มาจากโตเกียวจึงจำเป็นต้องรีบลงมือ เหตุการณ์ในตอนนั้นถูกเล่าโดยตัวเธอเองให้กับ มูรามัตสุ โชฟุ-Muramatsu Shofu ผู้เขียนประวัติเธอออกตีพิมพ์ในปี 1940 อย่างโลดโผนว่า

“ห้าทุ่มของคืนก่อนหน้า พวกต่อต้านชาวจีนได้ระดมยิงใส่สถานีตำรวจที่อยู่ภายใต้เขตปกครองของญี่ปุ่น และเมื่อถึงเวลาสองนาฬิกา พวกเขาก็บุกเข้าไปประชิตตัวสถานีแล้ว”

สภาพที่เทียนสินใกล้ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของกลุ่มต่อต้านทำให้มเหสีหว่านหรงตัดสินใจออกจากเมืองเทียนสินในที่สุด

และในขณะที่เสียงปืนดังไปทั่ว โยชิโกะได้ตัดสินใจขับรถเก๋งคันหนึ่งที่ผลิตในประเทศคิวบาตรงไปรับองค์มเหสีจากที่พัก

การขับรถนั้นโยชิโกะได้หัดขับจนชำนาญในช่วงที่เธอพำนักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก่อนหน้า เธอดับไฟหน้าและเทียบรถเข้าจอด องค์มเหสีแทบจะกระโดดขึ้นรถในทันทีก่อนจะนึกได้เว่าเธอลืมสุนัขตัวโปรดไว้ข้างในบ้าน

“ไปเอาหมาของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โยชิโกะค้นทั่วบ้านจนพบสุนัขตัวนั้นและนำมันขึ้นใส่ด้านหลังของรถ ก่อนจะขับฝ่าความมืดไปยังท่าเรือโดยไม่เปิดไฟหน้า

ที่ท่าเรือ เรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งกำลังรอรับองค์มเหสีไปต้าเหลียนจากคำสั่งของกองทัพกวางต่ง

และแล้วองค์มเหสีผู้มีเพียงสุนัขและชุดทรงบนตัวก็ปลดจี้หยกที่เป็นสมบัติจากพระมารดาของพระองค์มอบให้กับ โยชิโกะ คาวาชิม่า เป็นการตอบแทน

 

อัตชีวประวัติของเธอในเหตุการณ์ครั้งนั้นดูยังเป็นที่กังขาในหมู่นักประวัติศาสตร์ พระญาติของมเหสีหว่านหรง กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโยชิโกะทำหน้าที่เพียงน้อยนิดในเหตุการณ์ครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ประวัติของเธอที่ปรากฏในหนังสือของโชฟุนั้นเป็นที่แพร่หลายมากจนทุกคนเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง

และแม้ตัวโยชิโกะจะออกมายอมรับภายหลังว่ามันไม่ได้เป็นไปดังที่ปรากฏในหนังสือในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ มันก็ดูจะสายไปเสียแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจในปฏิบัติการครั้งนี้คืออะไรเป็นแรงจูงใจให้โยชิโกะตัดสินใจรับหน้าที่ที่เป็นเหมือนดังข้ารับใช้ของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่เธอขึ้นศาลในฐานะอาชญากรต่อแผ่นดิน เธอได้ให้การว่าทุกอย่างที่เธอปฏิบัติแม้กระทั่งภารกิจในการฉกตัวของมเหสีหว่านหรงหาได้เป็นไปเพื่อประเทศญี่ปุ่น แต่ล้วนเป็นไปเพื่อประเทศจีนและราชวงศ์แมนจูเป็นสำคัญ

ความรู้สึกเป็นและหยิ่งในความเป็นชนเชื้อสายแมนจูนั้นถูกปลูกฝังในตัวของโยชิโกะนับตั้งแต่ครั้งที่เธอยังเยาว์วัย หลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง ชนชั้นสูงชาวแมนจูที่แทบไม่เคยประกอบอาชีพเลยต้องสูญเสียสถานภาพทางสังคมและสถานภาพทางเศรษฐกิจ

ที่ดินจำนวนมากของเขาถูกเปลี่ยนมือ ชนชาวฮั่นผู้อยู่ใต้การปกครองมองว่าชนชาวแมนจูเป็นพวกที่เกียจคร้านและมุ่งแสวงหาประโยชน์จากพวกเขามาช้านาน

ความโกรธแค้นนี้เห็นได้จากการที่ นายพลเจียงไคเช็ก สั่งให้กองทัพทำลายสุสานของราชวงศ์ชิงจนพินาศ

การได้เห็นสภาพที่ตกต่ำของชาวแมนจูเช่นนั้นทำให้โยชิโกะถูกดึงดูดเข้าสู่ความคิดที่ว่าภายใต้การหนุนนำของประเทศญี่ปุ่น ชนชาวแมนจูจะกลับมารุ่งเรื่องอีกครั้งได้

ดังคำให้การของเธอที่ว่า

“ฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องลับแห่งวิถีการเมืองในยามนั้น ฉันเพียงแต่ไม่อาจทนเห็นตนเองเป็นคนไร้ประโยชน์ในภาวะสงครามยามนั้นได้ ฉันอยากจะสร้างความรุ่งเรืองให้กับราชวงศ์ชิงอีกครั้งหนึ่ง และนำตัวจักรพรรดิปูยีกลับไปครองบัลลังก์ยังพระราชวังต้องห้ามเท่านั้นเอง หากองค์จักรพรรดิปูยีสามารถปกครองประเทศจีนทางตอนเหนือ โดยมี นายพลเจียงไคเช็ก ปกครองประเทศจีนทางตอนใต้ ทั้งคู่ย่อมสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศจีนได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย จะไม่มีใครกล้ารุกราน กล้าหมิ่นแคลนประเทศจีนอีก”

“ฉันเชื่อเช่นนั้น”

 

ชีวิตของหว่านหรง หลังจากเดินทางไปถึงแมนจูเรียปรากฏในบันทึกของ ซากะ ฮิโระ-Saga Hiro หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับ อ้ายชิงเจียวหลอ ปูจี-Pujie น้องชายขององค์จักรพรรดิปูยี หลังการยึดครองแมนจูเรียได้อย่างสมบูรณ์ในปี 1937 ทั้ง ซากะ ฮิโระ และปูจีได้ออกเดินทางไปพำนักร่วมกับองค์จักรพรรดิที่ฉางชุน

ฮิโระเล่าให้ฟังว่าเมื่อเธอพบกับองค์มเหสีหว่านหรง เป็นครั้งแรกนั้น เธอมีความประทับใจอย่างมาก

“องค์มเหสีแลดูมีอายุผ่านสามสิบปีเพียงเล็กน้อย เธอสูงประมาณห้าฟุตเจ็ดนิ้ว ร่างกายสมส่วน ในรองเท้าส้นสูง เธอสูงจนฉันต้องแหงนหน้ามอง ผมของเธอมีทั้งดอกไม้และเครื่องเพชรประดับประดาจนทั่ว ดวงตาของเธอกลมโต จนฉันต้องก้มลงทำความคำนับเธอในแบบของชาวแมนจูด้วยความเคารพ”

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฮิโระได้พบกับความจริงต่ออาการป่วยไข้ของมเหสีหว่านหรงในงานเลี้ยงอาหารค่ำแบบตะวันตกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้เธอตกใจอย่างยิ่ง

“องค์มเหสีนั่งอยู่ทางขวามือของฉัน ในขณะที่ฉันจ้องมองพระองค์อยู่นั้น พระองค์ก็ฉีกไก่งวงออกทานอย่างไม่หยุดยั้ง พระองค์ดูเจริญอาหารอย่างไม่น่าเชื่อ น้องชายของพระองค์ก็พยายามทำเช่นนั้นเพื่อหันเหความสนใจจากผู้อื่น เขาแย่งแท่งช็อกโกแลตจากคนข้างๆ และพยายามกินอย่างมูมมามเพื่อให้คนอื่นขบขันแทน ฉันพบความจริงในภายหลังว่าองค์มเหสีทรงติดฝิ่นอย่างหนักและทำให้สติของพระองค์เลอะเลือนจนแม้ไม่อาจรับรู้ได้ว่าพระองค์ได้ทานสิ่งไหนเข้าไปในตัวมากมายเพียงใด”