Isabella หนทางที่ทอดยาวของพ่อและลูกสาว (ก่อนมาเก๊ากลับคืนสู่จีน)/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

มีเกียรติ แซ่จิว

 

Isabella

หนทางที่ทอดยาวของพ่อและลูกสาว

(ก่อนมาเก๊ากลับคืนสู่จีน)

 

“คุณไม่ได้มีอะไรกับฉัน แต่มีอะไรกับแม่ฉัน ฉันเป็นลูกสาวคุณ”

เราทุกคนล้วนโอบอุ้มสั่งสมประสบการณ์มาต่างกัน ไม่มีใครไม่เคยล้ม พลาดผิด ทุกเหตุการณ์ในชีวิตคล้ายประหนึ่งหน้ากระดาษบันทึกความทรงจำ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Isabella ก็ได้บันทึกความทรงจำนี้ไว้ในช่วงเดือนสองเดือนท้ายๆ ก่อนที่มาเก๊าจะสิ้นสุดการครอบครองจากประเทศมหาอำนาจอย่างโปรตุเกส กลับคืนสู่สาธารณประชาชนจีนซึ่งเป็นประเทศแม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1999

ย้อนกลับไปก่อนหน้า ชีวิตประจำวันในมาเก๊าของ ‘สารวัตรหม่า’ (แชฟแมน โต) นอกจากคอยจับคนร้าย ก็ชอบเที่ยว กินดื่ม สำมะเลเทเมา เล่นพนัน ซื้อบริการ วนเวียนอยู่ในวงจรเช่นนี้ แต่ ‘ชาง’ (อิซาเบลล่า เหลียง) ผู้หญิงที่เขาหลับนอนด้วยไม่เพียงข้ามคืนแล้วจากไปเหมือนคนอื่น เธอคอยเฝ้าตามเขาไปทุกหนแห่ง จนเขาเกิดรำคาญแล้วไล่ให้เธอไป (“ก็แค่อีตัว”) เธอจึงคว้าขวดทุบเข้าศีรษะเขาและเศษแก้วก็กระเด็นใส่มือเธอ

เขาได้รับบาดแผลที่หัว ส่วนเธอที่มือ เมื่อมาถึงที่โรงพัก เขากระซิบบอกเธอว่า อย่าบอกใครว่าฉันมีอะไรกับเธอ เธอจ้องมองเขากลับแล้วพูดว่า

“คุณไม่ได้มีอะไรกับฉัน แต่มีอะไรกับแม่ฉัน ฉันเป็นลูกสาวคุณ”

บาดแผลที่หัวทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งซ้อนเข้ามาแทบจะในทันที (หนังตัดภาพกลับไปให้เราเห็นว่าก่อนหน้านี้เขาก็ขู่เอาข้อมูลกับใครคนหนึ่งด้วยการใช้ขวดเบียร์ฟาดหัวเหมือนกัน) และมือของเธอที่ได้รับบาดแผล ก็ไม่ต่างจากเขาครานั้นเมื่อตอนอายุ 17

เสียงดนตรีที่ดังอึกทึกในฉากเปิดที่แทบจะไม่ได้ยิน ‘เสียง’ สนทนาระหว่างคนทั้งสอง ก่อนตัดสลับในฉากถัดมาที่ ‘เงียบกริบ’ มีเพียงควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง ภาพโฟกัสไกลๆ ชานกำลังยืนคีบบุหรี่อยู่หน้าห้องในชุดนักศึกษา ฉากต่อเนื่องแต่คนละสถานที่สารวัตรหม่ายืนอยู่หน้าตู้สล็อต บุหรี่คาบค้าง นิ้วจิ้มกดไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย ราวกับกำลังใช้ความคิดทบทวนความหลัง

สองฉากดังกล่าวที่หนังตัดเข้ามาแม้ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็ทำให้เห็นว่ากำลังหาทางปะติดปะต่อเข้าหากัน ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันไปนาน

เธอเล่าว่าแม่ตายเมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนป่วยแม่ซื้อ ‘อิซาเบลล่า’ ให้เธอเป็นเพื่อนเล่นไว้ดูต่างหน้าเวลาคิดถึงแม่ (อิซาเบลล่าเป็นชื่อตอนวัยเด็กของแม่ ก่อนที่แม่จะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เอลล่า’) เธอจึงผูกพันกับเจ้าสุนัขตัวนี้มาก แต่ตอนนี้เธอค้างค่าเช่าห้องมาหลายเดือน จนเจ้าของไม่ยอมให้เธอเข้าไปและหมาของเธอก็ติดอยู่ในนั้น

เมื่อสารวัตรหม่าได้ฟังเรื่องดังกล่าว จึงไปขอเจ้าของห้องเช่าเพื่อเปิดเข้าไปดูหมาในห้องพักของเธอ แต่ก็พบว่ามันถูกทิ้งไปแล้ว

แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเลี้ยงดูและทำอะไรเพื่อผู้หญิงคนนี้ เช่นเดียวกับแม่ของเธอหรือ ‘รักแรก’ ของเขาที่เขาทอดทิ้งมา ‘หมา’ หรือ ‘อิซาเบลล่า’ และการออกตามหา จึงเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจการเชื่อมต่อร่องรอยดังกล่าว และสานสัมพันธ์จากหน้าที่ว่างเปล่าให้ปรากฏเรื่องราวขึ้นใหม่อีกครั้ง

ช่วงเวลานี้เฟรมภาพจะถูกย้อมเป็นสีเหลืองเน้นแสงสีเหลืองของหลอดไฟยามค่ำคืน ถนนหนทาง กระดาษประกาศตามหาสุนัขหายก็เป็นสีเหลือง และภาพที่ใช้ติดประกาศก็เป็นภาพของสองแม่ลูกไม่ใช่ภาพสุนัข (แม้รายละเอียดจะบอกถึงสัตว์เลี้ยง)

ซึ่งสื่อให้เห็นว่ามันคือ ‘สองแม่ลูก’ คู่นี้ต่างหากที่เคย ‘หายไป’ จากชีวิตของเขา

เครดิตภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Isabella_(2006_film)

ผู้เขียนเคยอ่านเจอในหนังสือเรื่อง ‘การครองเรือน’ ของ ‘ทวี บุณยเกตุ’ ในข้อเขียนตอนหนึ่งที่กล่าวเนื่องมาแต่โบราณว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” พ่อและแม่ย่อมต้องถ่ายเลือดให้แก่ลูกเสมอ

ถ้าเลือดของพ่อแรง หน้าตาและนิสัยใจคอของลูกก็มักจะเหมือนและคล้ายมาทางพ่อ

แต่ถ้าเลือดของแม่แรงก็จะคล้ายมาทางแม่” และบางทีก็คล้ายไปทางปู่ย่าตายายก็มี”

ซึ่งนั่นน่าจะเห็นจริงตามโบราณกล่าว เพราะหลายสิ่งที่ชานทำก็เหมือนกับเมื่อตอนที่พ่อของเธอเคยทำ ในอดีตตอนสารวัตรหม่ายังเป็นเด็กอายุ 17 เขาทำพลาด ทำอิซาเบลล่าท้อง เลยไปดักปล้นตีหัวเพื่อเอาเงินมาให้คนรักทำแท้ง มือของเขาได้รับบาดแผลจากเศษแก้วที่กระเด็นใส่ เขาสารภาพกับชานว่าตอนนั้น เขากลัว บอกว่าจะนั่งคอยคนรักอยู่หน้าโรงพยาบาล แต่เขาก็หนีหายไปจากชีวิตของเธอ

“เมื่อครั้งก่อนเธอทุบตรงกลางขวดเศษแก้วเลยกระเด็นใส่มือ ทีนี้ให้เธอลองเน้นด้านข้างเพราะแข็งแรงกว่า พอตีไปแล้วแก้วก็กระจาย”

จากนั้นเขาจึงสอนวิธีทุบขวดโดยไม่ให้เศษแก้วกระเด็นใส่ เธอลองทำตาม หญิงคนหนึ่งบอกว่าหากคิดจะอยู่กับเขา เธอต้องดื่มให้เป็น เธอก็ดื่มหนักจนอ้วกแตก เธอสูบบุหรี่ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งที่แอบชอบเธอ โดยบอกกับเขาว่าชายรุ่นราวคราวพ่อคนนั้นคือคนรักของเธอโดยไม่ปิดบัง

เธอไปเล่นการพนันที่บ่อนกับเขา ใช้ชีวิตในรูปแบบเดียวกัน จนพอจะรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้นตามลำดับ แม้เธอจะมาพักอาศัยอยู่กับเขาเพียงไม่กี่วัน แต่เธอก็ซึมซับความเป็นเขาและกลมกลืนกลายเป็นเหมือนเขาได้รวดเร็ว ต่างจากตอนที่อยู่กับแม่และชายเจ้าของร้านขายผ้าคนที่แม่ของเธอมาพักอาศัยอยู่ด้วยตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งเลี้ยงดูเธอมาแต่อ้อนแต่ออกเสมือนพ่อคนหนึ่ง (“ฉันเลี้ยงชานมาตั้ง 17 ปี”)

อันที่จริงหนังซ้อนภาพเข้ามาให้เห็นแต่ตอนต้นเรื่องแล้วว่า ที่ชาน ‘อ้างว่า’ มีอะไรกับพ่อของตัวเองนั้น เป็นการตบตาเขาขณะที่เขาเมาหนักและหลับไป โดยเธอ ‘เปลี่ยนตัว’ ใช้หญิงขายบริการคนหนึ่งให้มาหลับนอนกับเขาแทนเธอ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้เขาเกิดความรู้สึกสำนึกผิด กระทบกระเทือนใจ ซึ่งมันก็ได้ผล

(หรือเราอาจจะลองคิดดูเล่นๆ ชายคนหนึ่งที่เที่ยวซื้อหญิงขายบริการ ไข่ทิ้งไปทั่ว วันหนึ่งเกิดเป็นลูกของตัวเองโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ สำนึกผิดถูกจะมีหรือไม่ หากไม่ก็บ่งบอกถึงใจที่มืดบอดเต็มทน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่กับสารวัตรหม่า แม้เขาจะเที่ยวนอนกับผู้หญิงไปทั่ว แต่กับเรื่องนี้เขาสำนึกผิดขึ้นมาเต็มๆ)

แต่เขาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้เหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เขาเพียงแต่ยับยั้งชั่งใจ ไม่เผลอไผลทำผิดซ้ำ แม้ชานจะมีท่าทีสมยอมและเหมือนล่อลวงให้เขาเข้ามาติดกับของความรู้สึกผิดซ้ำๆ ในหลายช่วงหลายตอน แต่ ‘สำนึก’ ของเลือดเนื้อเชื้อไขในตัว มันทำให้เขารู้จักหักห้ามและไประบายเอากับหญิงขายบริการอย่างที่เขาเคยทำมาตลอด

เธอไม่ได้บอกเขาว่าแท้ที่จริงเราไม่ได้นอนด้วยกัน แต่เธอย้ำ (ในเรื่องคลับคล้ายคลับคลา) ให้เขาฟังว่า ตอนเจอกันครั้งแรก เมื่อปีที่แล้วในผับ เขากระซิบบอกเธอว่า “ปากของเธอเหมือนคนรักเก่าของเขา” และชวนเธอขึ้นเตียง เธอบอกเขาว่าตอนนั้นเกือบจะไปกับเขาแล้วเหมือนกัน

“เธอรู้ว่าฉันเป็นพ่อทำไมเธอจึงนอนกับฉัน”

ส่วนหนึ่งนั้นแน่นอนคือกระแทกความรู้สึกผิดสำนึกชั่วดีใส่เขา แต่อีกส่วนทางอ้อมหนังก็ทำให้เห็นว่าเธอเกิดรักพ่อของเธอคนนี้มากกว่าความเป็นพ่อในสายเลือดเดียวกัน อาจเพราะไม่เคยผูกพันกันมาก่อน เมื่อมาชิดใกล้จึงเกิดความรู้สึก ‘รักพ่อ’ อยากครอบครองพ่อ อยากให้พ่ออยู่ในทุกช่วงเวลา ไม่อยากรักใครอื่นนอกจากพ่อที่เคยขาดหายไปจากชีวิต

ลึกๆ แล้วเธอคงโหยหาในส่วนที่ขาดและพร้อมจะ ‘ข้ามเส้น’ ความเป็นพ่อลูก เพียงแต่เขาไม่ข้ามไปกับเธอ ยังคงยืนสถานะของความเป็นพ่อที่แม้จะยืนหมิ่นอยู่บนเส้นขอบเหวก็ตาม

 

ในช่วงท้ายๆ ของหนัง หลังมาเก๊าถูกส่งคืนสู่สาธารณะรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เรื่องที่สารวัตรหม่าเข้าไปพัวพันในเรื่องผิดกฎหมายก็ถูกตามมาเช็กบิล ทีแรกเขาคิดหนีไปประเทศไทย แต่ในนาทีสุดท้ายเขากลับตัดสินใจว่าจะรับสารภาพความจริงทั้งหมดแก่ศาล ซึ่งนี่คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่คิดจะวิ่งหนีแล้วทอดทิ้งลูกไว้เพียงลำพังเหมือนในอดีตที่เขาเคยทอดทิ้งคนรัก

“ฉันเป็นตำรวจ มีแต่คนร้ายเท่านั้นที่หนีฉัน ติดคุก 4 ปี ถ้าทำตัวดีๆ 2 ปีก็จะได้ออกมา รอฉันนะ”

เขายืนมองตัวเองหน้ากระจก ก่อนลูบครีมโกนหนวด โกนจนหน้าเกลี้ยงเกลา แต่งตัวสวมสูท ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ลูกสาว ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเป็นคนสอนเธอขับ ระหว่างทางเขาฟุบหน้าลงบนบ่าของเธอ เธอรู้สึกแต่ไม่พูด ภาพตัดไปที่ท้องฟ้าตอนกลางวัน ต้นไม้ แสงแดดระยิบระยับ แม้อากาศจะร้อน แต่ก็อบอุ่นในใจคนทั้งสอง

“หนูจะรอ” เธอส่งพ่อ ไม่มีคำพูดซึ้งใดๆ กลับจากเขา เขาหันหลังเดินขึ้นศาลไปอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงรองเท้าหนังในแต่ละก้าวที่เดินขึ้นบันไดไป

เธอขับรถกลับ อากาศยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนเก่า กล้องโฟกัสให้เห็นบนบ่าของเธอซึ่งมีร่องรอยคราบน้ำตาของเขาทิ้งเอาไว้ ชายคนที่ทำผิดพลาดมาทั้งชีวิต พูดน้อย สำมะเลเทเมา นอนกับผู้หญิงไม่เลือก แข็ง กระด้าง แต่กลับเผยความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้เห็นในวินาทีสุดท้าย ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

Isabella จึงเป็นอีกหนึ่งบันทึกความทรงจำของพ่อกับลูกสาวที่ได้กลับมาเขียนชีวิตร่วมกันอีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับบันทึกทางประวัติศาสตร์มาเก๊าที่คืนสู่มาตุภูมิที่ถูกพรากไปนานถึงสี่ศตวรรษ!

เครดิตภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Isabella_(2006_film)