ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
อัญเจียแขฺมร์
อภิญญา ตะวันออก
โอรส “นโรดม” กับเจ้าชายกำมะลอ
เรื่องหม่อมป้า-ม.จ.หญิงฉวีวาด ปราโมช ซึ่งเป็น “โครงกระดูกในตู้” ของคุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมช อันเป็นเรื่องของเจ้านายไทย-แขมร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงนักอ่าน
ส่วนจะจริงบ้างเท็จบ้างอย่างไร เป็นเรื่องที่ถูกนำมา “ชันสูตร” โดยนักวิจัยภายหลัง
แต่บางหัวข้ออย่างกรณี ม.จ.ฉวีวาดตอนเด็กที่แก่นเซี้ยว-ยื่นขาไปขัดพระชงฆ์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ จนทรงกลิ้งตกหอพระเลยทีเดียวนั่น ไม่เห็นว่าจะชำแหละความไปเพื่อใดกัน
เมื่อ ม.จ.ฉวีวาดเองก็ถูกริบฐานันดรไปแล้ว แต่กล่าวว่ามาจากกรณีที่มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ “วิกฤตวังหน้า” เลยทำให้หม่อมหนีภัยไปพนมเปญกับคณะละครชาววัง แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าข้อหลังนี้จริงหรือไม่ สำหรับการที่หม่อม (เหมือน) อ้างตนกับหลานว่า มีบทบาทในละครวังหลวงของเขมร
แต่ที่หนักไม่เบาคือนอกจากวีรกรรมกับราชสำนักไทยแล้ว ฝ่ายเขมรก็ลือกันหนักว่า เป็นเจ้าจอมในกษัตริย์เขมร-สมเด็จพระนโรดม ถึงขั้นมีโอรสกันองค์หนึ่ง พระนามว่า พระองค์เจ้าพานดุรี
ดังนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงมีศักดิ์เป็นพระญาติกับกษัตริย์เขมรไปด้วย
ว่าแต่ขณะนั้นเป็นสมัยรัชกาลที่ 7 แล้วที่นายพานดุรี, พานดูรี, พานดูกี หรือ “นายนุด” ถูกพ่อเมืองพิจิตรคุมตัวไว้ แล้วส่งจดหมายพร้อมภาพถ่ายมาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ในนั้น ยังมีจดหมายของ (พระองค์เจ้า) พานดุรี อีกด้วยฉบับหนึ่ง
รมพระยาดำรงฯ ทรงมีบุพกรรมกับหม่อมฉวีวาดอย่างไรไม่ทราบ จึงแกะรอยเรื่องของหม่อมตั้งแต่ครั้งยังสาว จนลูกเต้าโตแล้วก็ยังไม่จบวิบาก
หรือว่าอีกที หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน ต่างหาก ที่ตามสืบทั้งหมดในตอนเรื่อง “หม่อมเจ้าฉวีวาด : ข้อเท็จจริงจากการชันสูตร” คอลัมน์ประวัติศาสตร์มีชีวิต นิตยสารสกุลไทย/2559
ว่าแต่นายพานดุรีผู้นี้ มีการแสดงตัวต่อเจ้านายไทยอย่างไรกัน?
“ขอพระเดชะ ปกเกล้าปกกระหม่อม ขอพระราชทานกราบถวายบังคมทูลกรมพระดำรงราชานุภาพ ขอทราบใต้ละอองธุลี ข้าพระพุฒิเจ้าขอเล่าความตามต้นเนิ่ม เมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๕ หม่อมเจ้าแม่ฉลีวาฏได้ออกจากพระราชอาณาจักรสยามไปที่พึ่งอาไสอยู่ในประเทสเขมร ได้บังเกิดข้าพระพุฒิเจ้าคนหนึ่ง แล้วได้เล่าบอกว่าเป็นพระราชตระกูลในสยาม ตั้งแต่ข้าพระพุฒิเจ้ารู้ความมา ก็ตั้งใจว่าจะทะนุบำรุงชาฏสยามให้อุตตมะชาฏอยู่
บันลุมาถึงรัชการ พระบาทสมเด็จรัชการที่ ๖ ม่อมเจ้าแม่ได้กลับมาอยู่ในสยาม ๑๖ ปีแล้ว ข้าพระพุฒิเจ้าก็ได้ภยายามตามมา หวังใจจะได้พึ่งพระบูรพะโพธิสมภาร ตั้งแต่เกิดมา ข้าพระพุฒิเจ้าเกิดมารู้ตัวว่าพระมารดาเกิดเป็นชาฏสยาม”
ว่าแต่ “ชาฏ” กำเนิดของพานดูรีนี้ แท้จริงอย่างไร ไฉนจึงพรากจากมารดาล่วงไปถึงเพียงนั้น จึงนึกมาตามหากันที่สยาม? และมีฐานะเป็นลูกกษัตริย์กัมพูชาธิบดีจริงหรือไม่?
คาดว่า นายพานดุรีน่าจะถูกจับตัวที่ไทยราวปี 2469 ปลายปีนั้นเอง พระธิดาในสมเด็จพระนโรดมพระองค์เจ้าหญิงมาลิกาทรงตอบจดหมายถึงเสด็จในกรมฯ อย่างละเอียด จดหมายฉบับนี้ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2469 (อ้างแล้วสกุลไทย 3215)
ส่วนจดหมายจากกรุงภนมเพญที่ย้อนไป 6 ปีก่อน คือฉบับวันที่ 17 มกราคม พุทธศักราช 2463 นั้น เข้าใจว่ากรมพระยาดำรงฯ คงสอบถามเรื่องนายพานดุรีมานานครัน ด้วยทราบดีว่าหม่อมแม่นั้นอยู่สยามมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ฤๅขอให้ถามไถ่เรื่องลูกชายหรือไม่ จนทราบว่าไปติดคุกเขมรที่พระตะบองเสียนี่
ตามเนื้อจดหมายความว่า
“กระหม่อมฉันกราบถวายบังโคมยังใต้ฝ่าพระบาท ทรงทราบ กระหม่อมฉันไปขออนุญาตกระทรวงยุติธรรมค้นหาหนังสือคุก และสารกรมทัณฑ์ ซึ่งตุลาการตัดสินจากโทษนายนุด บุตรชายของหม่อมเจ้าฉวีวาด ซึ่งตั้งตนเป็นพระองค์เจ้าพานดุรีนั้น โทษเมื่อแผ่นดินก่อนและแผ่นดินปัจจุบัน ค้นหายังไม่ภพ ภพแต่สำเนาสารกรมทัณฑ์ ศาลอุทรณ์กรุงภนมเพญ เห็นพร้อมตามศาลพัตตบอง ขาดโทษเมื่อตอนปลายที่สุด
สารกรมราชทัณฑ์ ตุลาการเมืองพัตตบอง เลขที่ ๑๙๔ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๔
สารกรมราชทัณฑ์ ตุลาการศาลอุทธรณ์ กรุงภนมเพญ ตัดสินทดโทษใส่คุก ชื่อ นุด ๕ ปี ด้วยตั้งตัวเป็นเจ้า แต่เนื้อเรื่องและสารกรมทัณฑ์ศาลพัตตบองยังไม่ภพ
สารกรมราชทัณฑ์ ตุลาการศาลอุทธรณ์ กรุงภนมเพญนั้น ชื่อ นุด พึ่งพ้นโทษในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ก็ประจวบกันกับที่ได้ตั้งต้นเป็นพระองค์เจ้านั่นเอง ถ้าหาภพเนื้อเรื่องได้ก็จะลอกฝากมาทูลถวายต่อภายหลัง” (อ้างแล้ว, สกุลไทย 3216)
สรุปว่า นายพานดุรีน่าจะอ้างตนเป็นเจ้านายเขมรชั้นสูงที่เมืองไทย
การนี้อีกราว 2 ปีต่อมา พระองค์เจ้ามาลิกาทรงจดหมายลงวันที่ 23 ธันวาคม 2465 ทูลแต่เรื่อง ม.จ.ฉวีวาดว่า มิได้เป็นหม่อมห้ามของสมเด็จพระนโรดมแต่อย่างใด และต่อมาในปี พ.ศ.2469 คราวนี้แจกแจงละเอียดว่า บิดาพานดุรีมีนามว่า “ปัล” เป็นเจ้าเมืองระลาเปือย “เชื้อสายเจ็ก หาเป็นเชื้อเจ้ามิได้…”
แต่ด้วยที่หม่อมเจ้าฉวีวาดเคยนำพานดุรีมาเลี้ยงในวัง และสมอ้างตนว่าเป็นเจ้าชาย จึงอาจมีผู้หลงเชื่อ
ส่วนที่ไปติดคุกนั้น เล่าว่า ขณะขุนศรีมโนไมย สามีคนสุดท้ายของหม่อมเจ้าฉวีวาดกำลังป่วยหนักด้วยไข้ทรพิษ ความกลัวว่าหมอจะมายึดเรือนแล้วเผาทิ้งสมบัติเพราะติดโรคร้าย หม่อมและลูกชายจึงรีบขายเรือนสมบัติ จากนั้นไปตั้งรกรากที่เมืองบาสัก/กัมพูชาใต้ จากนั้น นุดก็สมอ้างว่ามีศักดิ์เป็นราชบุตรกษัตริย์นโรดม ได้เงินผู้คนไปโข
จนหนีมาพัตตบองและใช้วิธีเดียวกับที่บาสัก แต่คราวนี้พานดุรีถูกจับเข้าคุก (เรือนใหญ่) เป็นครั้งที่ 2 ข้อหาตั้งตนเป็นราชบุตรกษัตริย์ จนได้รับอภัยโทษปล่อยตัว เมื่อสมเด็จพระนโรดมสวรรคตและผลัดรัชกาล
จากนั้น พานดุรีก็ข้ามมาสยามเพื่อตามหม่อมแม่
คราวนี้ ยังมีนโรดมอีกองค์หนึ่งที่ถูกสมอ้างจาก “เจ้าชายกำมะลอ” คือสมเด็จนโรดม สีหนุ
เวลานั้น มีเกิดจลนา/กลุ่มต่อสู้กับเวียดนามตามชายแดนไทยจำนวนหนึ่ง (1979-1990) ขณะนั้นตามชมรมค่ายผู้ลี้ภัย ดูเหมือนผู้คนยังถวิลหาวรรณะเจ้านายมิสร่างซา
กระทั่งปรากฏร่างของ “พระองค์เจ้านโรดม สุริยวงษ์” ด้วยบุคลิกที่จับใจ เขาจะเป็นอื่นใดไปได้ ถ้าไม่ใช่เจ้าชายโอรสในสมเด็จนโรดม สีหนุ ผู้มีเจตจำนงทางการเมืองเหมือนพระบิดา ผู้คนต่างปลาบปลื้ม ให้ความรักต่อเจ้าชายเขมรองค์นี้อย่างไม่คิดเป็นอื่น
แต่พลัน พอถูกเปิดโปงการอุปโลกน์เป็นลูกกษัตริย์เท่านั้น พระองค์เจ้านโรดม สุริยวงษ์ หรืออังเดร โอคทัล ก็หายตนไปจากสารบบ
เช่นเดียวกับพานดุรีในอดีตที่ยังลึกลับจนบัดนี้