ไปสู่จุดแตกหัก/ชกคาดเชือก / วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก / วงค์ ตาวัน

 

ไปสู่จุดแตกหัก

 

ผลสะเทือนจากการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมที่สงขลาและชุมพร ไม่แค่ทำให้พรรคพลังประชารัฐ เสียหน้า เสียฟอร์มเท่านั้น แต่ยังทำให้รอยปริร้าวที่มีอยู่แล้วภายในพรรค เนื่องจากความขัดแย้งอย่างหนักระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยิ่งร้าวหนัก จนอาจจะถึงขั้นปริแตก น่าจะถึงจุดแตกหักแล้วอย่างแน่นอน

เพราะแกนนำในพลังประชารัฐ ที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ ไม่รอช้าที่จะขยายผลการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมว่า มาจากความผิดพลาดของ ร.อ.ธรรมนัส มาจากปากที่ไปปราศรัยจนเสียคะแนน

กระทั่งพยายามรุกไล่เพื่อให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค

แต่คนอย่าง ร.อ.ธรรมนัส คงไม่ปล่อยให้โดนรุกไล่ฝ่ายเดียว การตอบโต้อย่างดุเดือดรุนแรงจะต้องตามมาอย่างแน่นอน

ที่สำคัญ ร.อ.ธรรมนัส ได้กุมเสียงภายในพรรคเอาไว้ไม่น้อย ถ้าหากตัดสินใจจะไม่ขอไปต่อกับรัฐบาลแล้ว สถานการณ์การเมืองย่อมถึงจุดที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

ทั้งสภา ทั้งรัฐบาล สถานการณ์เวลานี้ เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยๆ อย่างที่สุด!!

ทั้งหลายทั้งปวง คำเตือนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่าเดินหมากผิดตาเดียว ทำพังทั้งกระดานนั้น

เป็นเสียงเตือนที่ดังขึ้นตั้งแต่การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ในการปลด ร.อ.ธรรมนัส พ้นจาก รมช.เกษตรฯ พ่วงด้วยนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจาก รมช.แรงงาน เมื่อ 9 กันยายน 2564

จริงอยู่ ร.อ.ธรรมนัส ทำผิดร้ายแรงต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จากกรณีที่เกิดการเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในพลังประชารัฐกลุ่มใหญ่ ในช่วงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เมื่อต้นเดือนกันยายน 2564 เพื่อซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์และอีก 5 รัฐมนตรี อันเนื่องจากวิกฤตโควิดและจัดหาวัคซีนมาล่าช้า

โดย ส.ส.พลังประชารัฐจำนวนหนึ่ง เตรียมจะโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมกับฝ่ายค้านด้วย ก็คือ เตรียมโค่น พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากนายกฯ

สุดท้ายด้วยการเจรจาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส ยอมขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ และหยุดการเคลื่อนไหวของ ส.ส.พลังประชารัฐ จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ 5 รมต.ได้รับเสียงไว้วางใจ สอบผ่านเรียบร้อย

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมจบ หลังการโหวตเสร็จสิ้นไม่กี่วัน กลับมีคำสั่งปลด ร.อ.ธรรมนัสพ้นจากรัฐบาล

แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้น!

ร.อ.ธรรมนัสยังคงเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐต่อไป ยังกุมพรรคที่เป็นฐานสนับสนุนนายกฯ และรัฐบาลต่อไป

ทุกฝ่ายชี้ว่านั่นคือการตัดสินใจผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะผลักให้ ร.อ.ธรรมนัสกลายเป็นศัตรูแบบถาวร

เหมือนนายกรัฐมนตรีทำตัวเองให้เท้าลอย เพราะจะไม่มีฐานสนับสนุนในสภาที่มั่นคงอีกต่อไป โดนเบี้ยวเมื่อไหร่ก็ยุบสภาเมื่อนั้น

 

การที่ ร.อ.ธรรมนัสยังอยู่ดีเป็นปกติ ทั้งที่มีแผนจะเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ ในสภา นั่นแสดงว่าการตัดสินใจของ ร.อ.ธรรมนัสต้องมีไฟเขียว มีแบ๊กที่หนาแน่นมั่นคงอย่างที่สุดอยู่ข้างหลัง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำได้แค่ปลดพ้นรัฐบาล

เป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่มีลักษณะพิเศษ เพราะอยู่ภายใต้การโอบอุ้มของเครือข่ายอำนาจนอกระบบ จึงทำให้ไม่มีอะไรมาโค่นนายกฯ คนนี้ได้ แต่การที่ ร.อ.ธรรมนัสและ ส.ส.พลังประชารัฐเคลื่อนไหวเพื่อร่วมโหวตล้มนายกฯ ก็ไม่มีใครทำอะไร ร.อ.ธรรมนัสได้เช่นกัน ก็เป็นคำตอบได้ว่า ร.อ.ธรรมนัสก็ไม่ธรรมดา

เมื่อทำอะไร ร.อ.ธรรมนัสมากกว่านี้ไม่ได้ ยิ่งทำให้สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งล่อแหลมอันตราย ร.อ.ธรรมนัสเล่นเกมในสภาเมื่อไหร่ รัฐบาลก็ไปต่อไม่ได้ทันที

นับจากความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับ ร.อ.ธรรมนัส จนนำมาสู่การปลดพ้นรัฐมนตรีเมื่อต้นเดือนกันยายน จากนั้นมากระแสยุบสภาก็ระอุโดยตลอด

แม้รัฐบาลจะเสียงแข็งว่า ไม่มีการยุบ จะอยู่ครบเทอม อีกทั้งวงในก็รู้กันว่า พล.อ.ประยุทธ์อยากอยู่ไปจนถึงการเป็นเจ้าภาพเอเปกในปลายปี 2565

แต่ความขัดแย้งกับ ร.อ.ธรรมนัส ทำให้โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในสภามีได้ตลอดเวลา

แทบทุกพรรคการเมือง จึงเข้าสู่โหมดเตรียมเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า เล็งปืนใส่กันไปมา เดี๋ยวก็ปืนลั่นจนได้

เสียงเตือนที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์เดินหมากผิด ในการไปปลด ร.อ.ธรรมนัสนั้น เป็นเพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์มีแต่แบ๊กสนับสนุนเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง แต่ไม่มีฐาน ส.ส.เป็นของตัวเองเลย แม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคหลักของรัฐบาล ก็ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์

นั่นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์เล่นการเมืองแบบสบายๆ มาตลอด ด้วยมีพี่ใหญ่ 3 ป. พล.อ.ประวิตร จัดการให้หมด ทั้งในด้านพรรค ในด้านเสียงในสภา โดยมี ร.อ.ธรรมนัสนี่แหละ เป็นมือไม้สำคัญ

พล.อ.ประยุทธ์ถือว่าตัวเองมีเครือข่ายขุนศึกขุนนางเหนียวแน่น จึงไม่เคยสนใจฐานเสียง ส.ส.

วันนี้มาทะเลาะกับคนกุมเสียง ส.ส.ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

นี่คือการเดินเกมผิด คิดผิดอย่างมหันต์

 

ถ้าหากมองที่มาของกระแสไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีโควิดและจัดหาวัคซีนผิดพลาด จะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนในช่วงนั้นคือ ไม่พึงพอใจต่อประสิทธิภาพรัฐบาลเป็นอย่างมาก

เนื่องจากจัดวัคซีนมาช้า ไม่ทั่วถึง และไม่ใช่วัคซีนตัวที่ได้รับความเชื่อถือ ส่งผลให้การหยุดระบาดของโควิดล่าช้า ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้อย่างล่าช้าด้วย

ความโกรธแค้นรัฐบาลของประชาชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงทำให้เกิดกระแสในหมู่ ส.ส.พลังประชารัฐทำนองว่า จะไปร่วมโหวตหนุนนายกฯ ก็คงจะไปตอบคำถามให้ประชาชนในพื้นที่ตัวเองได้ลำบาก

ดังนั้น จึงเกิดแนวคิด ร่วมโหวตไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป ทำให้บทบาทของ ส.ส.พลังประชารัฐกลุ่มนี้ กลายเป็นฮีโร่ในทางการเมืองทันที ช่วยเปิดทางให้ประเทศและประชาชนมีทางออก ได้ปรับเปลี่ยนรัฐบาล มีผู้นำที่เหมาะกับสถานการณ์โควิดได้ดีกว่านี้

มาถึงสถานการณ์ในวันนี้ เกิดสถานการณ์หมูแพงรับศักราชใหม่ 2565 พร้อมกับสินค้าอื่นๆ แห่กันแพงไปหมด แพงทั้งแผ่นดิน

กระแสความไม่พึงพอใจ พล.อ.ประยุทธ์จากประชาชนวงกว้าง แรงขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะทั้งสังคมรู้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่รอบรู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีทางจะแก้วิกฤตเช่นนี้ได้

แล้วจู่ๆ ก็มีเกิดเหตุพลังประชารัฐพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อม ทำให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์รุกไล่บดขยี้ ร.อ.ธรรมนัสในฐานะเลขาธิการพรรคทันที

นั่นเท่ากับผลักให้ความขัดแย้งเดิม กลับมาสู่จุดเดือดระอุอีกครั้ง

ขณะที่ศึกภายในรัฐบาล ศึกภายในพรรครัฐบาล ใกล้จะถึงนาทีปรอทแตก

ศึกภายนอกก็ยังเดือดพล่าน เพราะความไม่พอใจของประชาชนในปัญหาหมูแพง สินค้าแพง

ทั้งมรสุมภายในและกระแสประชาชนภายนอก บ่งบอกว่าสถานการณ์กำลังเดินไปสู่จุดแตกหักนั่นเอง!