ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
เหยี่ยวถลาลม
ขอให้เธอจงจำไว้
ทุกอย่างจะแพงในไม่ช้า
ถ้าไม่ใช่หุ้น ไม่ใช่ทองคำ ชนชั้นมีอันจะกินไม่เคยรู้สึกรู้สามาแต่ไหนแต่ไรกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้นๆ
นักวิชาการบางกลุ่มบางคนไม่ได้ชายตาไปยังเบื้องล่าง ยังคงเห็นว่าสินค้าราคาแพงขึ้นแค่รอยถลอก ไม่ใช่แผลเรื้อรังหรือปัญหาในเชิงโครงสร้าง เพียงแค่รัฐบาลใช้จิตวิทยาโฆษณาให้ถึง
ลวงให้ถูกที่ถูกเวลาก็เชื่อว่าอารมณ์ขุ่นมัวของประชาชนจะสงบลงได้ในเร็ววัน
แนวคิดที่ว่ามานั้นไปด้วยกันได้กับ “มุมมอง” ของ ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ชี้ชวนให้ “คิดบวก”
“ของแพงขึ้นแสดงว่าประชากรโลกมีการบริโภคมากขึ้น เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้มีความต้องการบริโภคสูง”
หรือถ้ารับไม่ได้กับภาวะข้าวของที่แพงขึ้นทุกคนก็ต้องช่วยกัน…ลดความต้องการลง หลีกเลี่ยงการใช้หรือไม่ใช้สิ่งของนั้นๆ ถ้าหมูเห็ดเป็ดไก่ไข่ผักผลไม้แพงขึ้นก็กินให้มันน้อยลง หรือเลิกกินไปเลยจะยิ่งดี ไม่มีผู้ซื้อก็ไม่มีราคาขาย
ทฤษฎีนี้ถูกใจ “ประยุทธ์” เป็นแน่!!
แต่ในอีกแง่มุมที่ต่างออกไป “ประยุทธ์” กับคณะละครพร้อมที่จะเปิดหูเปิดตารับรู้หรือไม่
การเมืองเผด็จการคือ “ต้นธาร” ของปัญหา!
ถ้าจู่ๆ ลุกขึ้นมาบอกว่าของแพงเพราะเผด็จการครองเมืองเพื่อนต้องว่าไอ้นี่บ้า (การเมือง)! แต่เมื่อทบทวนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจไทยก็จะพบ “ปม” ของปัญหา
นับตั้งแต่รัฐประหาร 9 พฤศจิกายน 2490 เป็นต้นมาจนถึง 22 พฤษภาคม 2557 เป็นเวลา 67 ปี ประเทศไทยมี “รัฐประหาร” เกิดขึ้นทั้งหมด 11 ครั้ง
เฉลี่ยทุกๆ 6 ปี ทหารก่อการยึดอำนาจล้มล้างการปกครองครั้งหนึ่ง
ประชาชนผู้ต่ำต้อยมีประโยชน์ใช้สอยเพียงถูกใช้เป็น “ข้ออ้าง” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ก่อการ ตั้งแต่ยุคผิน-เผ่า-สฤษดิ์ ทำรัฐประหารในปี 2490, 2491 และ 2494 มีอะไรบ้างที่ทำให้กับประชาชน
อดีตขบวนการเสรีไทย นักการเมืองฝั่งตรงข้ามที่ช่วยให้ไทยไม่ถูกยึดครอง ทหารไม่ต้องวางอาวุธ กองทัพไม่ถูกยุบ ผู้มีคุณูปการถูกไล่ล่าฆ่าทิ้งอย่างป่าเถื่อน
กลุ่มการเมืองเผด็จการผิน-เผ่าจับมือกลุ่มธุรกิจร่วมกันผูกขาดเขมือบทรัพยากร ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำเพื่อบำรุงความสุขความสมบูรณ์แก่ราษฎร
พอถึงรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 “สฤษดิ์” ก็โค่นนาย ไล่จอมพล ป. ล้างไพ่ผิน-เผ่า สร้างอาณาจักรใหม่ที่มี “ถนอม-ประภาส” ค้ำยันให้ ทำรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ก็เพื่อกระชับอำนาจให้เบ็ดเสร็จแล้วจึงลงมือปราบปรามฝ่ายเห็นต่างสิ้นซาก
ต่อเมื่อ “สฤษดิ์” ตายไปแล้ว สังคมไทยถึงได้เข้าใจ “เผด็จการพันล้าน”
จากนั้น ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ตามรอย จนถึงบิ๊กจ๊อด-บิ๊กสุ-บิ๊กเต้ กระทั่ง “บิ๊กบัง” สืบทอดต่อเนื่องถึงยุค “3 ป.” มีคณะรัฐประหารชุดไหนที่พัฒนาประเทศและทำเพื่อประชาชน!?
67 ปีที่ผ่านมาคือบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษา
จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างที่ “วันชัย สอนศิริ” ส.ว.ตาสว่างลุกขึ้นอภิปรายว่า 7-8 ปีมาจนถึงปัจจุบัน (2557-2565) พบว่าวงจรอุบาทว์ของการทุจริตเลวร้ายกว่าเดิม
ที่เคยว่าใครเขา-ที่เคยใช้เป็นข้ออ้างทำลายฝ่ายตรงข้าม เป็นเสียเองครบถ้วน เรียกรับ ใช้ทรัพย์สินของรัฐบำรุงบำเรอสุขส่วนตัว ลำเอียง เลือกปฏิบัติในการใช้อำนาจเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง
การเมืองล้าหลังทำให้เศรษฐกิจมีความเหลื่อมล้ำ อำนาจที่รวมศูนย์จะดูดซับทรัพยากรจากหัวเมืองและเมืองอื่นๆ เข้าสู่ส่วนกลาง การจัดสรรทรัพยากรเพื่อพัฒนาท้องถิ่นและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจะไม่เป็นธรรม ต่างจังหวัดกับชนบทสูญเสียโอกาส คนอพยพเข้าเมือง รายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง คุณภาพชีวิตติดลบ
รัฐประหารไม่ใช่ฉากที่น่าภาคภูมิ หากแต่เป็นแผลเรื้อรัง!
ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เผด็จการทหารหรือผู้ที่จำแลงแปลงตัวมาจะต้องรับฟังและเอาใจใส่ “เสียงของประชาชน”
นักการเมืองมา-ยกมือไหว้ขอเสียง
นักรัฐประหารมา-ชูปืนขึ้น พร้อมกับประกาศว่า “ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ”
นักการเมืองใช้ภาษามนุษย์พูด ฟังดูยังมีสกุลรุนชาติ ไม่ต่ำทรามถ่อยเถื่อน
นักรัฐประหารใช้วาจาสามหาว ข่มขู่ ท้าทาย ด่ากราดตวาดใส่หน้า
เมื่อสังคมไทยจะต้องเจอกับการรัฐประหารในทุก 6 ปี “อำนาจการเมือง” ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในมือของผู้ปกครองที่ดูแคลนและไม่ใส่ใจในชนชั้นล่าง
การเมืองแบบนี้ทำให้ปัญหาดำรงอยู่ซ้ำซาก ไม่ว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง พืชสวนไร่นาล่มสลาย วัวควายเป็ดไก่ล้มตายด้วยโรคระบาด ปัญหาปากท้อง สาธารณสุข การศึกษา การผูกขาด กักตุน ข้าวของแพง ค่าแรงถูก สารพัดทุกข์ของคนเล็กย่อมไม่ได้รับการปัดเป่าทันท่วงที เฉกเช่นการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพ
เมื่อได้ยินเสียงบ่นระทมทุกข์ของชาวบ้าน ผู้ปกครองจึงรู้สึกรำคาญในหัวใจ
“ของแพง” เป็นภาวะชั่วคราว ไม่ควรจะทุรนทุราย
โรคระบาดสัตว์วัวควายหมูเป็ดไก่กุ้งหอยปูปลาตายได้เป็นเรื่องธรรมชาติก็ไปเพาะพันธุ์เลี้ยงกันใหม่
ของจะแพงขึ้น คนจนจะเพิ่มขึ้นก็ธรรมชาติ สังคมต้องมีคนจนคนรวย เหมือนมีฟ้าก็มีดิน มีชายก็มีหญิง มีขาวมีดำ
ที่นายกรัฐมนตรีอธิบายความจึงชอบแล้ว คนรวยขึ้นไปใช้ทางด่วน ส่วนคนจนไม่มีตังค์ ก็ใช้ทางข้างล่าง
ฟ้าไม่ได้ลิขิต ชะตาไม่ได้กำหนด หากแต่เป็นระบบการเมืองกับเศรษฐกิจที่ตลอด 67 ปีมานี้ตกอยู่ภายใต้ “อำนาจ” ของคณะรัฐประหารเต็มรูปแบบ หรือไม่ก็จำแลงแปลงกายมาครอบงำทำให้อภิสิทธิ์ชนอหังการ
จึงขอให้เธอจงจำไว้…ฉันไม่จำเป็นต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเพื่อแสดงความโปร่งใส ไม่ชอบให้ใครมาตรวจสอบ ไม่ชอบให้ซักถามถึงความรับผิดชอบ เกิดเป็นไทย (ชั้นล่าง) จะต้องทนให้ได้!?!!