70 ปี ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช สิ่งที่อยากทำในบั้นปลายชีวิต/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

 

70 ปี ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช

สิ่งที่อยากทำในบั้นปลายชีวิต

 

ช่วงโรคโควิด-19 ระบาดมา 2 ปีกว่า ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ในฐานะนายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ได้นำสิ่งของอุปโภค-บริโภค พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง แจกจ่ายให้บรรดาวินมอร์เตอร์ไซค์ แท็กซี่ และผู้ยากไร้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนแถวย่านโชคชัย 4 ต่างซึ้งน้ำใจที่คอยช่วยเหลือในยามยาก

ล่าสุดเพิ่งมอบให้ในช่วงหลังปีใหม่ไม่นาน โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมช.มหาดไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาสมาคม มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

“มติชนสุดสัปดห์” มีโอกาสสนทนากับแม่แดง หรือพี่แดงของน้องๆ เลยถามเรื่องสุขภาพอันดับแรก เจ้าตัวเล่าว่า อายุ 70 ปีแล้ว น้ำหนักลงจากเดิม 12 กิโล คงอาจจะกินคลีนฟู้ด ลูกสาวดูแลเรื่องอาหาร เมื่อก่อนชอบกินขนมหวาน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ลดแป้ง ลดน้ำตาล และที่ทำสม่ำเสมอคือการออกกำลังกาย วิ่งวันละชั่วโมง

คือเราอายุเยอะขึ้น แล้วใช้ชีวิตไม่ค่อยดี ทำงานหนักมาตลอด ไม่ค่อยดูแลตัวเอง นอนน้อยมาก วันละชั่วโมง นอนเต็มที่ 4 ชั่วโมง เราทำมาตลอดชีวิต ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพมากๆ ก็ได้แต่บอกลูกชาย (ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ) และบอกคนรู้จักว่าอย่าทำแบบเรา เพราะทำให้สุขภาพไม่ค่อยดี

ตอนหลังๆ พยายามเจริญสมาธิ ไปปฏิบัติธรรม บางทีคนเราถ้าไม่มีผลจะไม่ค่อยรู้สึก มัวแต่ใช้ชีวิต ทำงานแบบเต็มที่ไม่เคยคิดถึงสุขภาพของตัวเอง เลยเป็นการทำร้ายตัวเอง ทั้งเรื่องจ่อเบาหวาน จ่อมะเร็ง และเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการนอน เพราะเวลานอนจะหยุดหายใจ ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ดี

สรุปแล้วตอนนี้มีปัญหาเรื่องสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไหร่ แต่พยายามทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น

สําหรับงานของสมาคม เธอบอกมีทีมงานช่วยกัน เรื่องกฎหมายก็จะมีทนายความเข้ามาช่วย ทุกคนที่มาช่วยล้วนเป็นจิตอาสา ไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าตอบแทน ที่นี่ช่วยคนโดยไม่เรียกค่าใช้จ่าย เป็นโครงการที่ภูมิใจมาก โดยเฉพาะเรื่องรักงวนสงวนตัว อบรมไปแล้ว 1,200 คน ถ้ามีคนเห็นดีงามตามเราแค่ร้อยคนก็ชื่นใจแล้ว สมาคมนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 เมื่อก่อนหารายได้ได้ทุกปี แต่ 7-8 ปีให้หลัง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี หาเงินยาก

ที่ผ่านมาสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากในหลากหลายรูปแบบ มีทั้งไปซ่อมบ้านให้ หรือช่วยสนับสนุนเงินทุนในการประกอบอาชีพแล้วค่อยส่งคืนตามกำลังโดยไม่คิดดอกเบี้ย

“การทำบุญกับคนจนมันชื่นใจ คนไม่ทำไม่รู้ และการทำตรงนี้ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีสี อยากให้คนที่มีเงินเยอะๆ ประเทศไทยมีแค่ 77 จังหวัด อยากให้เขาไปตั้งกองทุนช่วยเหลือคนยากไร้ คนด้อยโอกาส อยากฝากบอกผู้มีเหลือกินเหลือใช้ ตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้ มาช่วยคนจนให้มีโอกาสดีกว่า ถ้าช่องว่างมันเยอะก็อย่าคิดว่าสังคมจะสงบสุข เมื่อเขาไม่มีจะกินเขาไม่ปล่อยให้ตัวเองอดตายหรอก อยากให้มีน้ำใจต่อกัน ถ้าเราแค่ถือศีล 5 สังคมไม่วุ่นวายหรอก”

“เดี๋ยวนี้คนเราใจร้ายมาก มองหน้ากันไม่ได้ ผิดถูกไม่รับรู้ นี่คือสิ่งที่เราห่วงมากโดยเฉพาะสังคมปัจจุบัน เพราะศีลธรรมมันตกต่ำเยอะ เราได้แต่ห่วง ฉะนั้น ทำอะไรได้ในส่วนของเราก็จะพยายามยามทำเต็มที่ ทำจนลมหายใจสุดท้าย”

อย่างไรก็ตาม การหารายได้เข้าสมาคมนั้น ระเบียบรัตน์บอกว่า หารายได้ไม่ได้เลยเกือบ 10 ปีแล้ว ก่อนโควิดท่านเสริมศักดิ์เลยไปจัดมวย ทางสนามมวยเขารู้จักกับท่านเสริมศักดิ์ เลยให้เราจัดเองขายบัตรเอง ได้มาประมาณ 5 ล้าน ก็นำเงินตรงนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายให้พนักงาน ตอนนี้เน้นช่วยเรื่องการศึกษาเด็กเพราะเห็นว่าเยาวชนคือพลังของบ้านเมือง ถ้าเยาวชนมีความมุ่งมั่งตั้งใจ และอยากเรียนหนังสือ อยากช่วยพ่อแม่ เราก็พยายามที่จะช่วยเขาให้เต็มที่ เพราะการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และส่วนที่สำคัญคือสถาบันครอบครัว ทำไมถึงมาจับเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องปิดทองหลังพระ ที่ผ่านมาไม่อยากออกสื่อเท่าไหร่ เพราะตอนนี้สุขภาพก็ทรุดโทรม คติประจำตัวคือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีวันพรุ่งนี้

สำหรับระเบียบรัตน์ อยากทำอะไรรีบทำเพราะไม่รู้หรอกว่าเราจะไปวันไหน

ในฐานะที่เป็นแม่ของลูกหญิง-ชายรวม 3 คนและมีหลานสาวฝาแฝด 2 คนที่เป็นลูกสาวของ ร.ท.ปรีชาพล คุณระเบียบรัตน์ หรือที่ใครๆ มักจะเรียกกันในสมัยที่เป็นวุฒิสมาชิกว่า “เจ๊เบียบ” พูดถึงหลักการครองรักครองเรือนกับคุณเสริมศักดิ์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยว่า “อยู่ที่ความเข้าใจ ท่านก็ให้เกียรติเรา ดิฉันทำงานกับประชาชน เรื่องการเมืองเราไม่ยุ่ง สมัยก่อนมีคนที่ทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะวิ่งทางเรา บอกได้คำเดียวว่าจบเลย คือเราต่างก็ทำงานให้กับสังคม ตอนนี้ท่านเสริมศักดิ์ดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะอายุ 76 ปีแล้ว”

ในวันนี้ “เจ๊เบียบ” พยายามเป็นพุทธมามกะที่ดี โดยนำหลักธรรมมาในชีวิตประจำวัน

“จำไว้เลยว่าไม่มีอะไรวิเศษเท่าธรรมะของพระพุทธองค์ สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าใจเราสุขมันก็สุข ถ้าใจเราทุกข์มันก็ทุกข์ นอกจากนี้ ถือว่าเมตตา การเป็นผู้ให้มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ แล้วถ้าเราเห็นสายตาของคนที่มารับของ เราก็ชื่นใจแล้วเพราะไม่ได้หวังอะไรจากคนเหล่านั้น เคยคุยกับหมอลักษณ์ฟันธง เขาบอกว่า ขอกราบขอโทษที่เคยดูหมิ่นดูแคลน จิตใจผมเคยว่าพี่ทางลบ วันนี้ผมรู้แล้วว่าพี่คือใคร”

ส่วนกรณีผู้ชายไทยมักมีปัญหาเรื่องบ้านเล็ก แล้วในครอบครัวจัดการปัญหาเรื่องนี้อย่างไรนั้น

ระเบียบรัตน์บอกว่า “เรารักกันมา 8 ปี แต่งงานตั้งแต่ปี 2518 ก็ 47 ปีแล้ว มันยิ่งกว่าเพื่อน ดิฉันอายุน้อยกว่าท่าน 5 ปี แต่เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน ท่านเสริมศักดิ์เป็นคนที่รักครอบครัว รักลูกมากๆ ก็เข้าใจว่าท่านก็รักเราพอสมควร แต่ผู้ชายที่ไว้ใจได้ก็มีแค่ 2 คน คือตายแล้วกับยังไม่เกิด คือพูดแบบนี้มาตลอด เขาลงบันได 3 ขั้นก็เป็นผัวคนอื่นแล้ว ฉะนั้น อย่าไปทุกข์ ถ้าทุกข์เราไม่ให้เกียรติตัวเอง เราดูถูกตัวเองว่าไม่แน่พอ เราดูถูกคนที่รักที่เลือกมาเองกับมือ คนเรามันต้องใจถึงใจ มันห้ามใครไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเรา ยิ่งสังคมเมือง ออกไปก็เจอคนเยอะแยะ ก็อยู่ที่ว่าเรามั่นคงกันแค่ไหน เคยบอกเขาว่าถ้าตายเมื่อไหร่ก็พามาแนะนำในงานศพได้เลย เราพร้อม (หัวเราะ) ไม่มีอะไรเราก็อยู่แบบเพื่อน ถ้ามีเรื่องไม่พอใจกัน คุยกันก็จบ”

“ตอนนี้อยากปฏิบัติธรรมให้มากกว่านี้ พอไปสถานปฏิบัติธรรมได้สวดมนต์ ได้เดินจงกรม ได้ทำอะไรเยอะมาก พอมาอยู่บ้านได้ทำน้อยมาก มันไม่มีอะไรสงบ เวลานี้มองสร้อย แหวน นาฬิกาเป็นของเล็กมาก บอกลูกว่าถ้าแม่ตายแบ่งแจกให้ลูกให้หลาน คือถ้าเราไม่มีความสุข ใจเราไม่สุข มันก็เท่านั้น เป้าหมายในชีวิตอยากปฏิบัติธรรมให้เยอะกว่านี้ ที่ผ่านมาทำอะไรให้กับสังคมไว้เยอะ สมัยเป็นคุณนายผู้ว่าฯ ตั้งแต่อายุ 46 จนบัดนี้ย่าง 71 ก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว”

 

ภาพจำของผู้คนเรื่องครอบครัว “เจ๊เบียบ” ต้องยึดผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ซึ่งระเบียบรัตน์ย้ำว่า

“เรื่องนี้ถือมาก คนเราอยู่ด้วยกันต้องซื่อสัตย์ ต้องมีความรัก คือถ้าดีกับคนรอบข้าง แต่กับคนใกล้ตัวใช้ไม่ได้ก็ไม่ดี เห็นผู้ใหญ่บางท่านมาแต่งงานตอนอายุเยอะๆ มองว่าเป็นเหตุผลส่วนตัวของท่าน แต่รับไม่ค่อยได้ เพราะเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรจะกิน พอปลายมือมาเป็นแบบนี้ก็รับไม่ค่อยได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร คืออยากให้ทุกคนมีความสุข สุขกายสุขใจ และก็ไม่ร้อน เพราะถ้าร้อน เรื่องราคะ โทสะ โมหะ จะตามมา แล้วจะไม่มีวันสงบ”

ส่วนเรื่องการเมืองนั้น ระเบียบรัตน์บอกว่า “ติดตามตลอด ห่วงบ้านเมืองมากๆ เพราะว่าถ้าการเมืองไม่นิ่งจะพัฒนายากมาก และจะลำบาก ยังบอกเพื่อนๆ ที่มีบำนาญว่า ถ้ารัฐเก็บภาษีไม่ได้ รายได้ไม่เข้า บำนาญก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย งบประมาณก็เป็นงบฯ เงินเดือนเสียส่วนมาก เป็นเรื่องน่ากลัวมากๆ อะไรยอมกันได้ก็อยากให้ยอม อย่าให้ถึงจุดๆ นั้น อย่าให้สามัคคีแต่ปาก คือเราอาจจะมีพรรคมีพวก แต่บ้านหลังใหญ่คือประเทศไทย ถ้าหลังคารั่ว ความสามัคคีก็ไม่เกิดขึ้น แล้วจะอยู่อย่างไร ต่อไปจะลำบากมากๆ”

“สำหรับการเมืองนั้น พูดจากใจเลย อย่างไรก็ตาม ต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย เวลานี้มองว่าศักดิ์ศรีของ ส.ส.เขามองไม่เห็น เชิญไปให้ปากคำในกรรมธิการก็ไม่มีใครให้ความสนใจ ดิฉันเป็นอดีต ส.ว.รู้ว่างานสภาเอาปัญหาความยากไร้ ความลำบากของประชาชนเข้าไปคุยกัน ถ้าหากหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องรู้ร้อนรู้หนาว ปัญหาก็ได้รับการแก้ไข”

“บ้านเมืองควรให้ความสำคัญเรื่องระบบเลือกตั้ง ซึ่งถ้าระบบรัฐสภาล้มเหลว ผู้คนจะชินกับระบบเผด็จการ เพราะเผด็จการไม่วุ่นวาย ความจริงให้ ส.ส.ไปเถียงกัน น้ำลายเต็มสภา นั่นแหละคืองาน เพราะกว่าจะผ่านกฎหมายแต่ละฉบับ คำว่า ก็-และ-หรือ ซึ่งเถียงกันแทบตาย ความหมายมันต่างกัน คนละเรื่องกันเลย พอไม่ให้ความสำคัญกับระบบสภา จะไปชินกับระบบเผด็จการ ซึ่งเผด็จการดูเหมือนเรียบร้อยดี พูดคำไหนคำนั้น แล้วอยู่แบบไหน อยู่แบบมีความสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“สำหรับลูกชายนั้น บอกได้เลยว่าปรีชาพลเกิดมาเพื่อบ้านเมือง บอกเขาว่าอดทนลูก 50 ปีไม่สาย พอพ้น 10 ปี เขาอายุ 50 พอดี กรณีโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี นี่เข้าปีที่ 3 แล้ว ถ้ากันยายนปีนี้ เขาอายุ 42 ปี เขาเป็นคนฉลาด เป็นคนศึกษาเรียนรู้ เป็นคนที่รักประชาชนมากๆ จนแม่ตกใจ ที่ผ่านมาบอกให้ทำงานสังคม ไม่อย่างนั้นสังคมจะลืม ให้ไปบรรยายวิชาการหรือทำอะไรได้ให้ทำ เขาอยากทำงานเพื่อสังคม แต่เจอมรสุมทางการเมือง ตอนนี้เรียนจบปริญญาเอกแล้ว”