ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand
ณัฐพล ใจจริง
พลเมือง คือ ผู้ปกป้องชาติ
: จินตภาพเมืองไทยในยามศึก
ของนักเรียนเตรียมอุดมฯ
“กิจการใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชาติของเราแล้ว ย่อมเป็นงานอันยิ่งใหญ่ เหลือความสามารถของรัฐบาลที่จะดำเนินต่อไปจนเป็นผลสำเร็จโดยปราศจากความช่วยเหลือส่งเสริมของพลเมืองแห่งชาติ…”
(น.ส.สวาท สุนทรกิติ, 2484)
“โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ถูกตั้งขึ้นในปี 2480 โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้น เปิดสอนในปี 2481
และเพียง 3 ปีหลังการก่อตั้ง นักเรียนเตรียมอุดมฯ คว้ารางวัลเรียงความชนะเลิศในการประกวดเรียงความฉลองรัฐธรรมนูญ ปี 2484 ได้
ท่ามกลางบรรยากาศของต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คุกรุ่น คนหนุ่มสาวสมัยนั้นมีความคิดทางการเมืองและจินตภาพถึงเมืองไทยอย่างไร หนทางหนึ่งในการเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอดีต คือ การอ่านงานเขียนของพวกเขาและเธอที่สะท้อนความคิดร่วมสมัยออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรนั่นเอง
รัฐบาลในระบอบประชาปไตยได้เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ทางความคิดให้กับเยาวชนด้วยการจัดประกวดเรียงความฉลองรัฐธรรมนูญ ในระดับมัธยมและอุดมศึกษาขึ้น
คณะกรรมการตัดสิน ประจำปี 2484 ประกอบด้วย เดือน บุนนาค หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ พระยาอนุมานราชธน พระราชธรรมนิเทศ พระสารประเสริฐ วิจิตร ลุลิตานนท์ หลวงสุจิตรภารพิทยา เชื้อ พิทักษากร สมประสงค์ หงสนันท์ และอำพัน ตัณฑวรระนะ เลขานุการ จำนง รังสกุล และนิลวรรณ ปิ่นทอง ผู้ช่วยเลขานุการ
หัวข้อการประกวดในระดับมัธยมและเตรียมอุดม คือ “พลเมืองในระบอบรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ช่วยเหลือการป้องกันประเทศชาติอย่างไร”
ผู้ส่งเรียงความประกวดจำนวน 245 คน ในจำนวนนั้นคือ น.ส.สวาท สุนทรกิติ อายุ 16 ปี นักเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แผนกเตรียมแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 1
ทั้งนี้ กระแสความรู้สึกชาตินิยมก่อตัวอย่างชัดเจนภายหลังการปฏิวัติ 2475 เมื่อประชาชนมั่นใจในความก้าวหน้าของสังคมมากกว่าเดิม
อันเห็นจากในช่วงปลายปี 2483 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รวมทั้งประชาชนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องให้ไทยเรียกดินแดนคืนจากฝรั่งเศสจากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เมื่อครั้งระบอบเก่า
รวมทั้งนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้เป็นผลผลิตจากสมัยสร้างชาติร่วมเดินขบวนด้วย คณาจารย์ชายหญิงต่างสมัครเข้าช่วยราชการทหารและอาสากาชาด ส่วนนักเรียนช่วยกันห่อถุงของขวัญส่งไปให้ทหารที่ปฏิบัติการในสนามรบ ในช่วงเวลานั้น วิทยุกระจายเสียงเปิดเพลงปลุกใจอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดการพิพาทเกิดขึ้น เมื่อฝรั่งเศสส่งเครื่องบินเข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม มีประชาชนไทยได้รับบาดเจ็บ ในที่สุด รัฐบาลไทยตัดสินใจใช้กำลังทหารบุกเข้าไปในอินโดจีน
ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเวลานั้นยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท ในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสลงนามในอนุสัญญาโตเกียวเมื่อ 9 พฤษภาคม 2484 ผลทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบาง จำปาศักดิ์ ศรีโสภณ พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชาคืนมาจากฝรั่งเศส
ด้วยบริบทดังกล่าวจึงมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของนักเรียนเตรียมอุดมฯ สมัยสร้างชาติด้วย
ชาติ คือ หัวใจ
น.ส.สวาท นักเรียนแผนกเตรียมแพทย์ชั้นปีที่ 1 เริ่มต้นเรียงความฉลองรัฐธรรมนูญว่า
“วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 นี้ นับเป็นวันที่เตือนใจชาวไทยทั้งมวลให้ระลึกถึงการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญของเราที่ได้มาบรรจบครบรอบปีที่ 9 อันเป็นผลที่ทำให้ไทยทั้งชาติเริ่มตื่นตัวจากความนิ่งนอนใจมาเป็นชาติไทยที่เจริญด้วยอารยธรรมและวัฒนธรรมทัดเทียมนานาชาติทั่วโลก ตลอดจนมีความสามัคคีพร้อมเพรียงในการรีบเร่งสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองมีแสนยานุภาพอันเข้มแข็ง…”
จากข้อเขียนของเธอข้างต้นสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกแห่งยุคสมัย ดังที่จอมพล ป. แสดงออกเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลพระยาพหลฯ ว่า “ในช่วงเวลา 150 ปีแล้วมา การทหารเกือบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากมีปืนเล็ก ปืนกลสัก 200-300 กระบอก มีเครื่องบินที่ปราศจากอาวุธในการต่อสู้ทางอากาศอยู่เล็กน้อย มีเรือรบที่เก่าพ้นสมัยอยู่ 4-5 ลำ เท่านี้” (กรุงเทพฯ วารศัพท์, 27 มิถุนายน 2477)
เธอกล่าวถึงสิ่งที่พบเห็นในระบอบประชาธิปไตยว่า “ถึงแม้ว่าการปกครองระบอบนี้จะได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลาอันสั้น ก็ยังสามารถทำให้ประเทศชาติของเราก้าวหน้าจากเดิมเป็นอันมาก ทั้งยังเปลี่ยนแปลงกิจการตลอดจนจิตใจของชาติให้ทันเวลาและเหมาะสมกับเหตุการณ์ของโลก…นับเป็นต้นเค้าของความมั่นคงของชาติ”
เธอวิเคราะห์ต่อไปว่า “สถานการณ์โลกในขณะนั้น แต่ละชาติต่างทะนงตนว่าเหนือกว่าชาติอื่น มีการทำให้ชาติอื่นอ่อนแอลง ประเทศใดอ่อนแอก็ศูนย์เสียเอกราชไป แม้นไทยเป็นประเทศรักษาสงบ ก็ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นพลเมืองของระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลและประชากรจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันเป็นเอกฉันท์ในกิจการทุกอย่างเพื่อนำชาติของเราให้ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งมวลไปได้”
ประชาชน คือ ผู้ปกป้องชาติ
สําหรับเธอผู้เป็นเยาวชนสมัยสร้างชาติ มีสำนึกถึงประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศและจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งปวงว่า “กิจการใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชาติของเราแล้ว ย่อมเป็นงานอันยิ่งใหญ่ เหลือความสามารถของรัฐบาลที่จะดำเนินต่อไปจนเป็นผลสำเร็จโดยปราศจากความช่วยเหลือส่งเสริมของพลเมืองแห่งชาติ…”
โดยรัฐบาลทำหน้าที่ส่งเสริมให้คนไทยเข้ามาค้าขายแทนคนต่างด้าว และพยายามปรับเปลี่ยนค่านิยมให้คนไทยมีความกระตือรือร้น และนิยมไทย ตลอดจนสร้างนิคมสร้างตนเอง ส่งเสริมการเพาะปลูกเพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอไม่ขาดแคลนอาหารในยามที่อาจเกิดสงครามขึ้น
เธอเห็นว่า ประชาชนมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศทั้งในยามสงบและยามสงคราม รัฐบาลขณะนั้นได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ของโลกที่คับขันยิ่ง ด้วยการให้ตรา พ.ร.บ.กำหนดหน้าที่ของคนไทยในเวลารบ 2484 ที่กำหนดให้คนไทยทุกคนมีหน้าที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ ร่วมต่อสู้กับข้าศึก ขัดขวางข้าศึก
สำหรับหน้าที่ในยามสงบ เช่น การสร้างชาติ ปรับปรุงวัฒนธรรม และรักชาติ เข้าฝึกฝนการซ้อมการป้องกันภัยทางอากาศ การซ้อมรบ เมื่อชาติมีภัย พลเมืองทั้งหลายจะช่วยกันปกป้องชาติจากภยันตราย เธอเรียกร้องให้ “พี่น้องชาวไทยจงมีความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งความคิดและการกระทำว่า เราจะต่อสู้ป้องกันประเทศชาติของเราจนถึงที่สุด…ถึงแม้ว่าเรามิได้เป็นประเทศมหาอำนาจอันแท้จริงก็ตาม เราทั้งชาติก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ…”
สวาทเห็นว่า การปกป้องชาติประกอบด้วย การสร้างชาติ สร้างวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจ การป้องกันการจารกรรม ทั้งหมดนี้คือ ภารกิจหน้าที่ของพลเมือง เธอเห็นว่า “อันความรักชาตินั้นมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาย่อมมีด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งเลือดรักชาติของคนไทยด้วยแล้วก็ยิ่งรุนแรงและมั่นคง”
ดังนั้น ในสายตาของเธอนั้น ชาติเหนือสิ่งอื่นใด ชาติคือผลรวมของประชาชน ประชาชนคือผู้สร้างและปกป้องชาติให้ก้าวหน้าและอยู่รอดปลอดภัย ความอยู่รอดปลอดภัยของชาติล้วนเกิดขึ้นจากประชาชนทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม งานฉลองรัฐธรรมนูญประจำปี 2484 ที่จะเปิดในวันที่ 8 ธันวาคมนั้นมิได้เปิดงานขึ้นได้เนื่องจากเช้าตรู่ของวันที่ 8 กองทัพของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ชายแดนไทยในหลายจังหวัด งานเฉลิมฉลองสำคัญประจำปีจึงต้องยุติลง สังคมไทยต้องเผชิญหน้ากับเพลิงสงครามต่อไป
สุดท้ายนี้ ชีวิตของ น.ส.สวาทหลังจบโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แล้ว เธอเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
เธอมีผลงานวิชาการที่สืบค้นได้คือ “การศึกษาสรีรวิทยาในคนไทย 1 อัตราชีพจร อัตราหายใจและอุณหภูมิร่างกายในภาวะซัล” (2492)
ต่อมา เธอเข้ารับราชการในหน่วยงานของกองทัพ เธอทำงานที่สถาบันพยาธิวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี (2514) และเธอมียศพันตรีหญิง (2517) นี่คือเรื่องราวของเยาวชนไทยสมัยสร้างชาติคนนี้ที่สืบค้นได้
กล่าวโดยสรุป เรียงความฉลองรัฐธรรมนูญชิ้นนี้สะท้อนถึงจินตภาพเมืองไทยในยามศึกของเยาวชนในครั้งนั้นอันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชาตินิยมที่เกิดขึ้นจากมั่นใจในความก้าวหน้าของชาติ ชาติสำคัญสูงสุด และความสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศของพลเมือง ผนวกกับบริบทของความขัดแย้งที่รายล้อมประเทศไทยและในระดับสากล นี่คือความคิดทางการเมืองของเยาวชนไทยสมัยสร้างชาติ