ฟันซ้ำ ‘น.อ.เมากร่าง’ ไม่จบแค่ธำรงวินัย ปลดออก-โดนอาญา จ่ออีกคดีมาตรา 112/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

ฟันซ้ำ ‘น.อ.เมากร่าง’

ไม่จบแค่ธำรงวินัย

ปลดออก-โดนอาญา

จ่ออีกคดีมาตรา 112

ไม่จบแค่การธำรงวินัยเสียแล้ว สำหรับกรณีของ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ทหารเรือที่ก่อเหตุเมากร่าง อ้างว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีคลิปบันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งที่สัตหีบ จ.ชลบุรี และที่ย่านสถานบริการชื่อดังใน กทม. และเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง

จนต้องเข้าสู่การธำรงวินัย และพาให้ ผบ.ทร. และผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ โกนหัว ธำรงวินัยเพื่อเป็นความรับผิดชอบไปด้วย

เมื่อปลัดกระทรวงกลาโหมลงนามในคำสั่งปลดออกจากราชการ ตามมาด้วยหมายจับ 4 ข้อหาของศาลทหาร กรณีเมากร่างทะเลาะวิวาทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่

พร้อมมีรายงานว่าสารวัตรทหารเรือคุมตัวส่งให้กับพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบเรียบร้อย

แต่ก็ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อมีผู้ไปแจ้งความว่า น.อ.อลงกรณ์อาจมีความผิดเข้าข่ายมาตรา 112

จน บก.น.5 เจ้าของพื้นที่ที่เกิดเหตุ ตั้งกรรมการสอบสวนว่าเข้าข่ายหรือไม่อย่างไร

หากมีมูล ก็คงหนีไม่พ้นโดยแจ้งข้อหามาตรา 112

ถือเป็นการเมากร่างที่มีผลกระทบตามมารุนแรงจริงๆ!!

 

ปลดพ้นราชการ-จ่อ ‘ม.112’

วันที่ 7 มกราคม 2565 หลังจากการที่ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ผู้อำนวยการกองอสังหาริมทรัพย์ ฐานทัพเรือสัตหีบ สังกัดกองทัพเรือ ที่ก่อเหตุเมากร่าง และถูกเข้าธำรงวินัยร่วมสัปดาห์ ก็มีเอกสารคำสั่งปลด น.อ.อลงกรณ์ออกจากราชการ

โดยเอกสารดังกล่าวลงนามโดย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม มีเนื้อหาระบุว่า คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 14/2565 เรื่องให้ปลดนายทหารออกจากราชการ

อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกลาโหมว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อนและลดตำแหน่งข้าราชการกลาโหม พ.ศ.2502 หมวด 1 ข้อ 4 (2) และข้อบังคับทหาร ที่ 11/1653 ลง 14 พฤศจิกายน 2482 ว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร มาตรา 4 ข้อ 2 และข้อ 12 กับคำสั่ง กห. (เฉพาะ) ที่ 281/60 ลง 27 พฤษภาคม 2560

โดยมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ ทำการแทนและสั่งการในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผนวก ก ข้อ 1.43

ฉะนั้น จึงให้ปลด น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ร.น. (พรรค นว.) ประจำ ฐท.สส. ออกจากราชการ เป็นนายทหารกองหนุน ไม่มีเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ สังกัด กพ.ทร. เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหารฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

และระบุว่า คำสั่งดังกล่าวจะได้ส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

ด้าน พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นไปตามที่คณะกรรมการสอบสวนโทษทัณฑ์ทางวินัยกองทัพเรือ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนและสรุปผลว่ามีความผิด เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหารฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็ถือว่าจบขั้นตอนกระบวนการสอบสวนทางวินัยของกองทัพเรือเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะมีขั้นตอนการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีรายงานว่าสารวัตรทหารเรือ ฐานทัพเรือสัตหีบ นำตัว น.อ.อลงกรณ์ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตามหมายจับของศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 14 จ.ชลบุรี ดำเนินคดีในข้อกล่าวหา 1.ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ 2.ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ 3.ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย 4.หมิ่นประมาทเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่

ขณะที่กรณีการเมากร่างที่ร้านอาหารย่านเอกมัยนั้น มีรายงานข่าวว่า บก.น.5 รับแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชนกรณีคลิปของ น.อ.อลงกรณ์เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งเบื้องต้น บก.น.5 ทำเรื่องถึง บช.น.ให้รายงานต่อทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีการดำเนินคดีตามมาตรา 112

โดยได้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนกรณีดังกล่าวแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนพิจารณาขอศาลทหารพิจารณาออกหมายเรียก หรือออกหมายจับกรณีดังกล่าวต่อไป

ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!??

ย้อนต้นตอคลิป ‘น.อ.กร่าง’

เหตุการณ์นี้ปรากฏเป็นข่าว เริ่มจากโลกออนไลน์ โพสต์และแชร์คลิปที่ใช้ชื่อว่า “ทหารเรือกร่าง” โดยเนื้อหาในคลิปมีชายกลุ่มหนึ่งตัดผมทรงเกรียน นั่งดื่มเหล้าอยู่ในร้านที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมด่าทอตำรวจที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ ว่าเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย ให้กลับไปสถานีตำรวจ ไม่เช่นนั้นจะย้ายทั้งโรงพัก พร้อมอ้างว่าเป็นเพื่อนกับตำรวจใหญ่ ชื่อ “โจ๊ก”

ขณะที่มีเสียงตำรวจระบุว่า ตนเองมาทำตามหน้าที่ แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังด่าทอ ขู่ย้าย และปาแก้วใส่ขณะถ่ายคลิปวิดีโอ แถมยังมีการระบุว่าพื้นที่สัตหีบเป็นของทหารเรือ ให้ตำรวจหลบไป จนกลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ตรวจสอบแล้วพบเกิดขึ้นช่วงกลางคืนของวันที่ 23 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 21.00 น. ที่ร้านอาหารโกดัง เลขที่ 168 ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบว่ามีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวตรวจสอบ ขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น มีชายไทยเข้ามาทำการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และพูดจาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และพยายามไล่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากร้านดังกล่าว

พร้อมอ้างว่าตนเองเป็นนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ และรู้จักนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับสูง ถ้าไม่รีบออกจากร้านไป จะย้ายให้หมด และมีการปาแก้วใส่บริเวณที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อ 19 ธันวาคม 2564 พบคลิปหน้าร้านอาหารย่านเอกมัย กทม. ซึ่งเป็นชายหัวเกรียนคนเดิม กำลังมีปากเสียงกับพนักงานของร้าน และ รปภ. เนื้อหาที่พูดออกมาในทำนองว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในประเทศ สามารถจะรื้อร้านทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ และให้คนบ้านใหญ่นครปฐม ชลบุรีมากราบเท้า สนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ถึงขั้นเรียกพี่น้อง แถมยังฟุ้งว่าชีวิตราชการเจริญรุ่งเรืองจนได้มาคุมภาคตะวันออกทั้งหมด พร้อมท้าให้พามาเลย ใครก็ได้ที่คุ้มกะลาหัวได้ในประเทศนี้ให้พามา

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเนื้อหาบางตอนพูดถึงการเป็นราชองครักษ์ และพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง

เนื้อหาสร้างความแตกตื่นจริงๆ

ผบ.ทร.ร่วมรับผิดชอบ

ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2564 พล.ร.ท.ปกครอง โฆษกกองทัพเรือ ก็ออกมายอมรับว่าชายคนดังกล่าวเป็นทหารเรือจริง ซึ่งก็คือ น.อ.อลงกรณ์ พร้อมเรียกมาสอบสวนแล้ว และสั่งธำรงวินัยทันที สำหรับในส่วนของคดีนั้นให้ทางเจ้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย

โดย พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. สั่งการให้หน่วยต้นสังกัดเรียกตัวนายทหารผู้ก่อเหตุเข้ารายงานตัวอย่างเร่งด่วน และให้สารวัตรทหารเรือควบคุมตัวนายทหารคนดังกล่าวเข้ารับการธำรงวินัย ณ ศูนย์ธำรงวินัยกองทัพเรือ พร้อมดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อลงโทษทางวินัยต่อไป

ทั้งนี้ กองทัพเรือขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอโทษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กำลังพลของกองทัพเรือได้แสดงกิริยาวาจาที่ไม่สมควรและก้าวร้าวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงดูหมิ่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ได้รับความเสียหาย

ไม่เพียงเท่านี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้บังคับบัญชา 2 ระดับชั้นของ น.อ.อลงกรณ์ คือ พล.ร.อ.สมประสงค์ และ พล.ร.ท.นฤพล เกิดนาค ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ก็เข้ารับการธำรงวินัยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยผู้บัญชาการทหารเรือจะธำรงวินัยเป็นเวลา 3 วัน และผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบจะธำรงวินัยเป็นเวลา 7 วัน

ส่วนเรื่องคดีความจะนำตัวมามอบให้พนักงานสอบสวน หลังจากธำรงวินัยเสร็จสิ้น เพื่อให้ดำเนินคดีโดยไม่ให้ความช่วยเหลือ

สุดท้ายถึงขั้นปลดออกจากราชการ โดนคดีอาญา และจ่อโดนคดีมาตรา 112

คงต้องรอดูบทสรุปว่าจะมีวิบากกรรมใดๆ รออยู่อีกหรือไม่