มรสุมหมูเห็ดเป็ดไก่-ไม่ธรรมดา/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

มรสุมหมูเห็ดเป็ดไก่-ไม่ธรรมดา

 

ถ้าหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ทยอยกันขึ้นราคาไม่จบสิ้น แล้วถ้ายังแพงยาวไปจนถึงเทศกาลตรุษจีน ยันเทศกาลสงกรานต์ น่าเชื่อว่ากระแสคลื่นความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อความสามารถในการบริหารงานของรัฐบาล จะเดือดระอุยิ่งขึ้นจนถึงจุดที่น่าเป็นห่วง

แถมไม่แค่ประเด็นไร้ฝีมือในการบริหารงานเท่านั้น ยังน่าสงสัยเรื่องการปกปิดข้อมูลอหิวาต์หมู ทำให้ผู้คนแคลงใจว่ามีวาระซ่อนเร้นเพื่อเอื้อกลุ่มทุนใหญ่อีกหรือไม่ เลยยิ่งเดือดไปกันใหญ่

จนเริ่มมีข้อวิเคราะห์ว่า ไปๆ มาๆ หมูแพงนี่แหละอาจจะเป็นตัวล้มรัฐบาลจนได้!!

ยิ่งบวกเข้ากับสถานการณ์ทางการเมือง ที่รัฐบาลเองเกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งยังคาราคาซังเป็นระเบิดเวลาที่จะตูมตามขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

แม้แต่ในเหตุการณ์หมู ไก่ ไข่ เป็ด แพงหูฉี่ ก็ได้กลายเป็นศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลไปแล้ว เมื่อ ส.ส.พลังประชารัฐออกมาซัดรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูแล 2 กระทรวงสำคัญเกษตรฯ และพาณิชย์ เกี่ยวพันกับปัญหาหมูป่วยหมูขาดแคลนจนกลายเป็นหมูแพง

แน่นอนว่า ส.ส.พลังประชารัฐ รู้ดีว่าประชาชนก่นด่ารัฐบาลอย่างหนัก ในปัญหาสินค้าขึ้นราคา จึงต้องออกมาโยนใส่ประชาธิปัตย์ ว่าเป็นคนบริหาร 2 กระทรวงนั้น ไม่เกี่ยวกับพลังประชารัฐ

ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ก็ซัดกลับว่า ให้รีบไปจัดการราคาน้ำมันให้ถูกลงก่อน เพื่อสินค้าอื่นๆ จะได้ไม่แพง

เพราะของแพงกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ความไม่พึงพอใจต่อรัฐบาลมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น พรรครัฐบาลเอง จึงมีแต่ต้องออกมาปัดผิดให้พ้นตัว พร้อมกับโยนใส่พรรคร่วมให้รับไปแทน

บรรยากาศเช่นนี้ บรรยากาศที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ค่อยเกรงใจกัน เกิดขึ้นเสมอหากเห็นว่าอายุรัฐบาลเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายๆ แล้ว

ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐ ก็ขัดแย้งกันหนัก ในการส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมอีกด้วย

จึงกล่าวได้ว่า สถานการณ์สินค้าราคาแพง ที่กระทบประชาชนอย่างหนัก นอกจากจะทำให้รัฐบาลต้องเผชิญคลื่นความไม่พอใจของประชาชนที่นับวันจะขยายตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่

สถานการณ์แบบนี้ในรัฐบาลเอง จากปมมรสุมภายใน ทั้งนายกฯ กับเลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ แล้วยังมีระหว่างพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์

จึงเข้าตำราทั้งศึกภายนอก คือความไม่พอใจของประชาชนจากของแพง และศึกภายในที่เกิดขัดแย้งกันเอง

ที่ประกาศก้องว่าจะอยู่ยาวจนครบเทอม น่าจะขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงที่มีมรสุมโถมถล่มอยู่รอบด้าน!!

 

ขณะที่ประชาชนคนไทยกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากปัญหาหมูเห็ดเป็ดไก่ราคาแพง อันสะท้อนฝีมือในการบริหารงานของรัฐบาลและยังน่าสงสัยถึงการเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ อีกทั้งชาวบ้านก็ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลที่มีพลเอกมาเป็นผู้นำรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังวิสัยทัศน์อันแหลมคมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

ดังนั้น ยิ่งอยู่ยาว เศรษฐกิจมีแต่ทรุดลง แล้วถ้าหากยังยืนยันจะอยู่จนครบเทอม คงทำให้ประชาชนคนไทยสิ้นหวังอย่างที่สุด

ดังนั้น ประเด็นการตีความวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังจะปะทุขึ้นมาในเร็วๆ นี้

ประสานเข้ากับกระแสความไม่พอใจรัฐบาลจากฝีมือด้านเศรษฐกิจ ทำให้ของแพงไปหมด

2 เรื่องนี้ผนวกเข้าด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลไปได้ลำบากมากๆ ในด้านความยอมรับจากชาวบ้าน

พูดง่ายๆ ว่า ประชาชนคงออกมาสนับสนุนการตีความวาระ 8 ปีนายกฯ ประยุทธ์ ให้ครบวาระเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียที

เส้นตายแรกคือ จะครบวาระ 8 ปี ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยเริ่มนับจากการเริ่มเป็นนายกฯ ยุครัฐบาลรัฐประหารเมื่อสิงหาคม 2557

เป็นไปได้มากว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ กระแสจากประชาชนวงกว้าง จะสนับสนุนการตีความของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระในปีนี้

จะว่าไปแล้วกระแสบ่นเบื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดยเฉพาะนายกฯ และแกนนำรัฐบาลที่อยู่มานานแล้วกว่า 7 ปี มีแต่เศรษฐกิจทรุดลงๆ นับว่าเสียงบ่นเบื่อจึงยิ่งหนักมากขึ้น

ในปัญหาโควิด ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่มีความสามารถในการแก้ไขวิกฤต เริ่มจากสั่งวัคซีนล่าช้า แทงม้าตัวเดียว

เมื่อหยุดการระบาดล่าช้า ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นได้ล่าช้า กระทบหนักประชาชนทั้งด้านดรคระบาด และด้านปากท้อง

ภาวะโควิดสร้างปัญหามาตลอด 2 ปี พอเริ่มปีที่ 3 หรือปี 2565 นี้ ปัญหาปากท้องประชาชนที่เลวร้ายอยู่แล้ว มาเจอหมูแพง อื่นๆ แพง

ความอดทนของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลซึ่งนำโดยขุนทหาร น่าจะถึงจุดที่ไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว

สถานการณ์ประเทศชาติ 2-3 ปีมานี้ เราจะได้ยินความคิดเห็นของชาวบ้านที่ว่า เราต้องการรัฐบาลที่เหมาะจะสู้วิกฤตโรคระบาดและเศรษฐกิจ ไม่ใช่ลุงแก่ๆ ที่รอบรู้แต่เรื่องกองทัพ

ประเด็นการตีความครบวาระ 8 ปีของการเป็นนายกฯ ที่พรรคฝ่ายค้านยืนยันว่า จะครบเส้นตายในเดือนสิงหาคม 2565

เป็นไปได้มากว่า ประชาชนจะแห่กันออกมาสนับสนุนให้ครบๆ เสียที!

 

ในท่ามกลางมรสุมทั้งภายนอกอันเนื่องจากความไม่พึงพอใจของชาวบ้าน และภายในรัฐบาลเองอันเนื่องจากความขัดแย้งรุนแรงกันเอง ถ้าย้อนมองไปถึงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งภายใน คือ เหตุการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์และอีก 5 รัฐมนตรี

เกิดการเคลื่อนไหวในหมู่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่อึดอัดใจกับผลงานรัฐบาลในการจัดหาวัคซีนจนทำให้โควิดระบาดหนัก จนทำให้ ส.ส.ไม่อาจสู้หน้าชาวบ้านในพื้นที่ของตัวเองได้

กลายเป็นกระแส ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจำนวนหนึ่งจะโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ ร่วมกับฝ่ายค้าน

เพราะผลงานรัฐบาลในเรื่องโควิด เป็นตัวจุดชนวนให้ ส.ส.พลังประชารัฐกลุ่มนี้เห็นว่า มีโอกาสที่จะกู้คะแนนเสียงกลับคืนมาได้ หากสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยการยกมือไม่ไว้วางใจร่วมกับฝ่ายค้าน

ดีไม่ดีกลายเป็นฮีโร่ให้กับสังคมไทยในสถานการณ์ที่กำลังก่นด่ารัฐบาลเพราะหาวัคซีนมาล่าช้า

แต่สุดท้ายเพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่า 3 ป.แตกกันไม่ได้ จึงกล่อม ร.อ.ธรรมนัสจนยอมพับแผนการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่เรื่องควรจะจบกลับไม่จบ เมื่อนายกฯ สั่งปลด ร.อ.ธรรมนัสพ้นจากรัฐมนตรี

คราวนี้เลยยิ่งลุกลาม เหมือนทำตัวเองให้ขาลอย

เอาเข้าจริงๆ ก็ทำได้แค่ปลดธรรมนัสพ้นจากรัฐบาล แต่เมื่อไม่สามารถจัดการธรรมนัสจนสิ้นฤทธิ์ในทางการเมืองได้ เพราะรู้กันว่าเป็นคนที่มีแบ๊กไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

คราวนี้กลายเป็นการสร้างศัตรู และเกิดความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เสียง ส.ส.ในพลังประชารัฐจะเบี้ยวนายกฯ กลางสภาอีก

มาจนถึงสถานการณ์ข้าวของแพง ชาวบ้านก่นด่ารัฐบาล เพราะเป็นปัญหาปากท้องโดยตรง

น่าคิดว่า กระแสในหมู่ ส.ส.พลังประชารัฐ ที่เคยก่อคลื่นใต้น้ำเมื่อรับรู้ว่าประชาชนไม่พึงพอใจในเหตุการณ์โควิด

กระแสนี้จะกลับมาอีกหนหรือไม่ เมื่อประชาชนกำลังไม่พอใจรัฐบาลอย่างหนักในวิกฤตราคาหมูเห็ดเป็ดไก่!!