Power Play ศึกไสยศาสตร์-การเมือง ‘บิ๊กตู่’ ยึดบ้านนรสิงห์ Balance of Power นายกฯ-ผบ.เหล่าทัพ เรือดำน้ำ – F 35/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

Power Play

ศึกไสยศาสตร์-การเมือง

‘บิ๊กตู่’ ยึดบ้านนรสิงห์

Balance of Power

นายกฯ-ผบ.เหล่าทัพ

เรือดำน้ำ – F 35

 

ในเมื่อบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งธงจะไปต่อ ยื้ออำนาจ เพื่อกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ก็ต้องบริหารจัดการอำนาจ เพื่อสร้างกองหนุนและแบ๊กอัพรองรับ

นอกจากแก้เคล็ด เสริมดวงชะตา เพิ่มบารมีพลังอำนาจ ด้วยการสวมแหวนครุฑ บูชาพญาครุฑ และนารายณ์ทรงสุบรรณในห้องทำงานนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ที่เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง พระ รูปปั้นเสือแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ยังตั้งบูชาสักการะรูปปั้นนรสิงห์ ไว้ที่ระเบียงชั้น 2 หน้าบ้านนรสิงห์ ตึกไทยคู่ฟ้า อายุ 105 ปีอีกด้วย

จากเดิมที่ตั้งไว้ในตึก เพราะที่นี่ในอดีตเคยมีรูปปั้นนรสิงห์ที่หน้าสนามหญ้า แต่ต่อมาได้หายไป พล.อ.ประยุทธ์จึงได้ไปหารูปปั้นนรสิงห์องค์นี้มาแทน ตามคำแนะนำของพระผู้ใหญ่ แต่ให้นำออกไปตั้งนอกตึก เพื่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย รวมทั้งโควิด แถมเป็นช่วงที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเจอแผนล้มกลางสภา สู้กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ก็สวมแหวนครุฑ และแหวนพญานาคในช่วงนั้น

แม้จะเป็นที่รู้และเห็นกันมาตลอดเกือบ 8 ปีของการเป็นนายกฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ห้อยพระเครื่องเป็นกองทัพ บางทีก็มีพระเหน็บหลัง เปลี่ยนแหวนบ่อยๆ สวมกำไลหางช้าง กำไลข้อมือหินต่างๆ ก็ตาม

แต่สถานการณ์ทางการเมืองในปี 2565 ปีเสือดุ ที่คาดกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ถูกจับตามองว่า เป็นการแก้เคล็ด เสริมชะตา เพิ่มอำนาจบารมี สู้กับสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้ได้กลับมาเป็นนายกฯ เป็นสมัยที่ 3

ถือเป็นการทำศึกไสยศาสตร์ที่เคยมีเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต โดยเฉพาะความเชื่อและไสยศาสตร์ในทางการเมือง

ในขณะที่การทำศึกการเมืองก็ยังคงเข้มข้น ทั้งกับฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้าน และฝ่ายเดียวกันเอง เพราะสายสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ก็ยังไม่อาจกลับมาเป็นเนื้อเดียวกันได้ ยังมีความหวาดระแวงกันอยู่ ว่าจะไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เชื่อมั่นในตัวพี่ใหญ่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มี ร.อ.ธรรมนัส เลขาธิการพรรค เป็นกุนซือ และมือทำงาน ลงพื้นที่หาเสียงด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน จะทำเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ กระนั้นหรือ

พล.อ.ประยุทธ์จึงพยายามสู้ ด้วยการสร้างกองหนุน โดยเฉพาะจากกองทัพ ด้วยการกระชับระยะห่างกับ ผบ.เหล่าทัพ จากที่ถูกมองว่าห่างเหินไม่แนบแน่น โดยเฉพาะกับบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

โดยมีบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกลาโหม เป็นสะพานเชื่อม ถือว่าเป็นสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำงานด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนายทหารหนุ่มที่ ป.พัน 21 รอ. หน่วยขึ้นตรงของ ร.21 รอ. สมัย พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ร.21 รอ.

ในฐานะที่ พล.อ.วรเกียรติเป็นพี่ใหญ่ใน ผบ.เหล่าทัพ เพราะแม้ปลัดกลาโหมจะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของ ผบ.เหล่าทัพ แต่ก็มีความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเตรียมทหาร จึงยกให้ปลัดกลาโหมยืนหัวแถวของ ผบ.เหล่าทัพ เพราะเป็นพี่ใหญ่ ตท.20 ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพเป็นรุ่นน้อง ตท.21 และ ตท.22 คงมีแค่บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. ที่เป็นเพื่อน ตท.20 ด้วยกัน

จะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์มาประชุมหัวหน้าส่วนราชการ เทียบเท่าปลัดกระทรวง ที่กลาโหมเป็นเจ้าภาพ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.วรเกียรติได้เชิญทั้งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. บิ๊กป้อง พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. มาร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างพร้อมหน้า อีกทั้งกลาโหมเป็นเจ้าภาพด้วย

เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์จะได้พบเจอหน้า ผบ.เหล่าทัพก็ในการประชุมสภากลาโหมเดือนละครั้งเท่านั้น แล้วบางครั้งก็มาไม่พร้อมหน้า เพราะติดภารกิจ

และด้วยภารกิจที่รัดตัวนายกฯ จึงทำให้ไม่มีเวลาพูดคุยนอกรอบกับ ผบ.เหล่าทัพมากนัก เมื่อประชุมเสร็จก็รีบไปงานต่อ

งานนี้ พล.อ.วรเกียรติได้เชิญ ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ ร่วมประชุม หัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่าปลัดกระทรวงด้วย แม้ว่า ผบ.เหล่าทัพจะเทียบเท่าระดับอธิบดีก็ตาม แต่เพราะเป็นไปตามธรรมเนียมของเจ้าภาพ

จึงทำให้มีภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ และ ผบ.เหล่าทัพใกล้ชิดกัน และมีถ่ายภาพร่วมกันด้วย

ก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนปีใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. ไปฟังการแถลงแผนของ กอ.รมน. ก็ได้พบ ผบ.เหล่าทัพ แต่ขาด ผบ.ทอ. พล.อ.ประยุทธ์ก็เชิญเข้าห้องรับรองพบปะพูดคุยกันพักใหญ่

กล่าวได้ว่า ระยะหลังๆ มานี้ ถ้ามีโอกาสได้เจอ ผบ.เหล่าทัพ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ทิ้งระยะห่าง ที่จะเป็นการสยบกระแสข่าวรอยร้าวจากความห่างเหินไปด้วย แม้จะห่างกันเกือบ 10 รุ่นก็ตาม

ไม่แค่นั้น ในงานเกียรติยศจักรดาว วันสถาปนา 65 ปี รร.เตรียมทหาร 27 มกราคม 2565 ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปร่วมงานด้วยตัวเอง เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่าดีเด่นให้ ผบ.เหล่าทัพชุดปัจจุบัน รวมทั้ง ผบ.ตร. และ ผบ.เหล่าทัพชุดก่อน ที่เพิ่งเกษียณไป รวม 16 คน

เนื่องจาก ผบ.เหล่าทัพชุดก่อนยอมสละสิทธิ์ไม่รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ปี 2564 เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ ร.อ.ธรรมนัส ศิษย์เก่า ตท.25 ที่ได้รับรางวัล เพราะเป็น รมช.เกษตรฯ เข้ารับรางวัล หลังจากที่ พล.อ.เฉลิมพลเป็นผู้นำ ประกาศไม่รับรางวัลของปีที่แล้ว จน ผบ.เหล่าทัพต้องไม่รับตามไปด้วย อันเป็นกลยุทธ์ในการกดดันไม่ให้ ร.อ.ธรรมนัส ที่ถูกมองว่าประวัติด่างพร้อย รับรางวัล

ดังนั้น ปีนี้ พล.อ.เฉลิมพลซึ่งเป็นประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร จึงมีมติมอบรางวัลย้อนหลังให้กับ ผบ.เหล่าทัพที่เกษียณแล้ว และตนเองพร้อม พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ ผบ.ตร. ก็มารับรางวัลในปีนี้แทน

โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการแก้ระเบียบในการจะไม่มอบรางวัลเกียรติยศจักรดาวให้ศิษย์เก่า รร.เตรียมทหาร ที่เป็นฝ่ายการเมืองอีกแล้ว เพื่อสกัดกั้น ร.อ.ธรรมนัส ก่อนที่ต่อมา เขาจะถูก พล.อ.ประยุทธ์ปลดออกจาก ครม.

ดังนั้น ในงานเกียรติยศจักรดาวปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ที่นอกจากจะมาร่วมงานด้วยตัวเองแล้วยังมีกำหนดที่จะร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ ผบ.เหล่าทัพด้วย จากเดิมที่เสร็จงานก็นั่ง ฮ.กลับ กทม.เลย

คาดว่าปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อม พล.อ.ประวิตร และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย จะมาร่วมพิธี และนำ ผบ.เหล่าทัพ และศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่นละ 4 คน กล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ที่ว่า

“ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” เพื่อกระชับสายเลือดพี่น้องเตรียมทหาร กับ ผบ.เหล่าทัพ และน้องๆ ในกองทัพ อันจะถือเป็นภาพความกลมเกลียว และมี ผบ.เหล่าทัพ บิ๊กทหารเดินหนุนหลัง

ที่อาจทำให้คนที่หวังจะมาชิงเก้าอี้นายกฯ อาจต้องคิดหนัก ถึงปัจจัยกองทัพ ท่ามกลางการทำนายอนาคตของหมอดูหลายสำนักว่าอาจเกิดการรัฐประหาร หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ไม่แค่นั้น กำลังถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเอาใจกองทัพด้วยหรือไม่ จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์นำประชุม ครม. เมื่อ 11 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา อนุมัติกรอบงบประมาณ 1.38 หมื่นล้าน โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ของ ทอ. เพื่อทดแทนเครื่องบินเอฟ 16 โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด เพราะเป็นเอกสารลับ “ริมแดง”

หลังจากที่ พล.อ.อ.นภาเดชให้สัมภาษณ์สื่อ สนใจเครื่องบินเอฟ 35 จากสหรัฐอเมริกา พร้อมอธิบายเหตุผลความจำเป็น และจะทยอยจัดซื้อเฟสละ 4 เครื่อง และจะซื้อแค่ครึ่งฝูง 8-12 เครื่อง และเดินหน้าต่อรองราคาให้ถูกที่สุด

โดย ครม.บิ๊กตู่ก็อนุมัติในครั้งแรกที่เสนอเข้า ครม. พร้อมกรอบงบประมาณของ ทบ. และตำรวจ ท่ามกลางกระแสโจมตีการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ทั้งกระแสประชาชน และพรรคฝ่ายค้าน

โดย ทอ. เริ่มนับ 1 จากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาก่อนว่า เครื่องบินรบแบบใดเหมาะสม รวมทั้งด้านงบประมาณด้วย และยังไม่ตั้งชื่อโครงการว่า เอฟ 35 แต่ใช้ชื่อโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนเครื่องบินเอฟ 16 เท่านั้น เพราะตามหลักการก็ต้องมีคณะกรรมการศึกษาก่อนจะตัดสินใจว่าจะเลือกเครื่องบินแบบใด แม้ว่าก่อนหน้านี้ พล.อ.อ.นภาเดชจะระบุว่าสนใจเอฟ 35 ก็ตาม

โดยมีบิ๊กป้อม พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันทน์ รอง ผบ.ทอ. แคนดิเดต ผบ.ทอ. ที่อาวุโสที่สุด เป็นประธาน แม้จะไม่ใช่นักบินขับไล่ตระกูลเอฟ แต่ก็เป็นนักบิน และมีความรอบรู้ อีกทั้งเคยเป็น ผช.ทูตทหารอากาศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ขณะเดียวกัน บิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี พัฒนกุล เสนาธิการทหารอากาศ แคนดิเดต ผบ.ทอ.อีกคน ที่เป็นนักบินเอฟ 16 ก็จะเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี ทดแทนเครื่องบินเอฟ 16

จนทำให้ถูกจับตามองว่า การวางบทบาท พล.อ.อ.ธนศักดิ์ และ พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี ในการสานฝัน ทอ. ในการมีเอฟ 35 เช่นนี้ เป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้มการเลือก ผบ.ทอ.คนต่อไป ที่จะมาสานต่อโครงการ ทำให้เป็นจริง ให้สำเร็จให้ได้ ด้วยหรือไม่ เพราะ พล.อ.อ.ธนศักดิ์ ตท.22 เกษียณ 2567 และ พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี ตท.24 เกษียณ 2568

แต่แม้ ครม.อนุมัติโครงการ และกรอบงบประมาณแล้ว ก็ใช่ว่าโครงการจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ ที่รู้กันว่าก็จะเป็นเอฟ 35 นี้จะฉลุยง่ายๆ เพราะฝ่ายค้านจ้องถล่มอยู่แล้ว ทั้งในสภา และในขั้นกรรมาธิการงบประมาณ

เช่นที่เคยถล่มจนทำให้โครงการจะซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 จากจีนของกองทัพเรือ งบประมาณ 22,500 ล้านบาท ต้องถูกชะลอมาแล้ว 3 ปีต่อเนื่อง จนทำให้งบประมาณของกองทัพเรือตกน้ำไปรวมกว่า 8 พันล้านบาทฟรีๆ

จนปีงบประมาณ 2566 นี้ พล.ร.อ.สมประสงค์ ผบ.ทร. จึงตัดสินใจไม่เสนอของบประมาณ และชะลอการจัดซื้อไปอีกเป็นปีที่ 4 และถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือไม่เสนอของบประมาณด้วยตนเอง

แม้ว่างบประมาณผูกพันงวดแรกจากที่ได้เจรจากับทางการจีนแล้วจะอยู่ที่ประมาณกว่า 900 ล้านบาทเท่านั้นก็ตาม ลดจากกว่า 3 พันล้านบาท แต่ ทร.ก็กลัวไม่ผ่าน เพราะทั้งสภาพเศรษฐกิจ ปัญหางบประมาณ และสถานการณ์โควิด และเป็นการทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ถูกฝ่ายค้านโจมตีเช่น 3 ปีที่ผ่านมาด้วย

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์อนุมัติโครงการจัดซื้อเครื่องบินฝูงใหม่ของ ทอ. งบฯ 13,800 ล้านบาท โดยไม่กลัวถูกถล่ม

แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ก็คงจะเยียวยาดูแลกองทัพเรือ เพราะที่ผ่านมาการชะลอโครงการเรือดำน้ำจีน ลำ 2-3 ก็ล้วนเป็นการตัดสินใจถอยของ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งสิ้น เพราะการเมืองรุกหนักในเวลานั้น

จึงมีกระแสข่าวสะพัดว่า กำลังมีความพยายามในการเจรจากับทางการจีน โดยเฉพาะผู้นำทางทหารจีน ในการแก้ปัญหาเรือดำน้ำให้ไทย เพราะลำแรกที่ทำสัญญาไปแล้ว และกำลังต่ออยู่ ก็ต้องเลื่อนกำหนดส่งมอบ จากกันยายน 2566 เป็นเมษายน 2567 เพราะสถานการณ์โควิดหนักในจีนครั้งนั้น และยังมีขัดข้องบางประการ

ส่วนลำที่ 2 และ 3 ทร.ไทยจะได้จัดซื้อเมื่อใดยังไม่มีใครรู้ ที่จะส่งผลต่อแผนยุทธศาสตร์ทางทะเลของกองทัพเรือไทยในการใช้เรือดำน้ำ 3 ลำดูแลและปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

โดยทางการจีนกำลังพิจารณาที่จะมอบเรือดำน้ำมือสอง ชั้นหมิง 2 ลำ แบบที่จีนเคยให้กับเมียนมาเมื่อเร็วๆ นี้ ให้กับกองทัพเรือไทย เพื่อนำมาใช้ในการฝึกศึกษาเตรียมความพร้อม ก่อนที่จะมีเรือดำน้ำลำแรก และทดแทนลำที่ 2-3 ไปก่อน ในระหว่างที่ยังไม่มีงบประมาณในการจัดซื้อ และถูกกระแสต่อต้าน

แต่ก็ต้องรอดูว่า จะสำเร็จหรือไม่ และที่สำคัญ กองทัพเรือกล้าที่จะใช้งานเรือดำน้ำมือสองของจีนนี้หรือไม่ด้วย

กล่าวได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์พยายามบริหารจัดการอำนาจ

ทั้งกับกองทัพ ที่จะเป็นกองหนุนสำคัญในการเลือกตั้ง และการไปต่อ

ยึดบ้านนรสิงห์ และ balance of power ระหว่างมหาอำนาจอย่างจีน และสหรัฐ ในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากทั้งจีน และสหรัฐ ทั้งเรือดำน้ำจีน S26T Yuan class และ F 35

พร้อมๆ กับการเยียวยากองทัพไปด้วย