เปิดใจ-คุยความฝันหมอวรงค์ อยากเป็นนายกฯ : “ผมพร้อมรับไม้ต่อ พล.อ.ประยุทธ์” | รายงานพิเศษ

“คนทำพรรคการมืองและลงเล่นการเมืองแล้วมาเป็นหัวหน้าพรรคต้องตั้งเป้าอยู่แล้ว ว่าเราจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเองเชื่อว่าผมมีศักยภาพ มีวิธีคิด และมีอุดมการณ์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เปิดใจเป้าหมายสูงสุดในทางการเมือง และการสร้างพรรคไทยภักดี

หมอวรงค์เปิดใจว่า ผมมีความตั้งใจจริงต่อประเทศและประชาชน ถ้าผมได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพในตัวผม ผมจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศดีขึ้นได้ และสามารถจะให้ความเป็นธรรมกับคนทุกกลุ่มได้ มีการกระจายทรัพยากรไปยังกลุ่มต่างๆ ได้อย่างดี ผมมีความมั่นใจในตัวผมเองในการทำงาน และด้วยนิสัยของผมไม่ชอบเอาเปรียบใคร ไม่เคยคิดจะไปโกงใคร ดังนั้น ใครทำไม่ถูกต้องผมต้องจัดการ นี่คือความใฝ่ฝันที่ผมฝัน และที่ผ่านมาในชีวิตผมไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นแบบนี้

หัวหน้าพรรคไทยภักดีมองว่าปัญหาต่างๆ ของประเทศในเวลานี้แก้ไขได้ไม่ยาก และพร้อมเป็นนายกฯ ของคนทุกกลุ่ม และตั้งใจในการปราบโกงใช้อำนาจไม่ชอบ เนื่องจากคนพวกนี้ชอบล้างสมองคน ให้คิดว่าการโกงแล้วมีผลงานก็ได้ ตรรกะแบบนี้ไม่ถูกต้อง

คุณต้องตั้งหลักก่อนว่าไม่โกงและไม่ใช่เอาแต่พรรคพวกตัวเอง เราต้องมองว่าเราคือตัวแทนของประชาชนในการดูแลผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ ถ้าเราจัดการจัดสรรทรัพยากร วางแผนปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตที่ดีของประชาชนจริงๆ มันจะเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับ

ส่วนเรื่องสถาบันเบื้องสูง หมอวรงค์บอกว่าเราต้องเทิดทูนท่านไว้เหนือการเมืองไปเลย เพราะที่ผ่านมาพระองค์ท่านก็ไม่ได้มายุ่ง เพียงแต่ว่ามันมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามดึงพระองค์ท่านลงมาแล้ว ซึ่งผมเห็นแล้วก็รับไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีโอกาสเป็นรัฐบาล ผมคิดว่าคงจะมีการปฏิวัติระบบการศึกษา

1. เรื่องหลักสูตรที่หล่อหลอมเด็กๆ

2. ต้องมีทีมที่มีความรู้ให้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

3. สำคัญที่สุดคือกฎหมายที่มีการบังคับใช้ต้องเป็นกฎหมายเข้มแข็ง

ดังจะเห็นจากโมเดลสิงคโปร์ที่บังคับใช้กฎหมายจริงจังไม่ว่าเรื่องอะไร ผมมองว่าแค่นี้ประเทศเราก็ไปได้แล้ว

ผมยืนยันว่าหากทุกประเทศใช้หลักการนี้ที่มันเป็นหลักสากล แต่บ้านเราที่มันสะดุดไปไม่ได้หลายอย่าง มันมีปัญหาเพราะคนที่มีอำนาจเกี่ยวข้องยังโกงอยู่แล้วก็หย่อนยาน ไม่ได้เอาจริงจัง มันก็เลยเกิดปัญหา

ที่สำคัญนักการเมืองบางกลุ่ม พอถูกตัดสินก็หาว่าถูกกลั่นแกล้ง ประชาชนเมื่อตามไม่ทันก็กลายเป็นเหยื่อ

ดังนั้น ผมว่าถึงเวลาที่จำเป็นต้องได้นักการเมืองที่มีอุดมการณ์และมีความตั้งใจจริงที่จะทำ ผมเชื่อว่ามันจะไปด้วยกันได้หมด

แม้แต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดแบบหนึ่ง ถ้ามีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ และได้เห็นการลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ที่เกิดจากการโกง เด็กบางคนไปตีความหรือรับข้อมูลมาว่าการมีสถาบันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ สิ่งเหล่านี้มันเป็นการคิดที่ผิด ทั้งที่นักการเมืองขี้โกงนี่แหละทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ ถ้าเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้และจัดสรรผลประโยชน์ให้เขาได้จริงๆ ผมมองว่าทุกคนรักความถูกต้องชอบธรรมอยู่แล้ว

ส่วนคำว่าขวา-ซ้ายเป็นวาทกรรม ประชาธิปไตย-เผด็จการก็เช่นกัน พวกคนที่อ้างตัวเองเป็นประชาธิปไตยก็โกงน่าดู ส่วนเผด็จการก็หน่อมแน้ม

หรือคนจะมองว่าเราเป็นพวกอนุรักษนิยม แต่เชื่อหรือไม่ว่าแนวคิดของผมทันสมัยกว่าพวกที่อ้างตัวว่าเป็นเสรีนิยมอีก

ผมเองมีแนวคิดเชิงปฏิวัติ เช่น ด้านเกษตรกรรม ใครกล้าให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ด้วยตัวเองได้ ขายข้าวเอง หรือแนวคิดการพารัฐบาลไปสู่ดิจิตอลเต็มรูปแบบ ผมไม่เห็นพรรคไหนพูดถึง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทันสมัยมากที่ผมคิดเอาไว้

ส่วนจุดยืนการปกป้องสถาบัน หมอวรงค์ย้ำว่า ผมไม่เห็นว่าจะผิดตรงไหน ซึ่งสิ่งที่ตลกที่สุดคือการที่ผมมาบอกว่าจะปราบโกง เด็กบางคนมาบอกว่าไม่ทันสมัย หัวโบราณ ผมรู้สึกว่าผมสงสารพวกน้องๆ มากว่าทำไมไปเข้าใจอะไรแบบนี้ ว่าการปราบทุจริตเป็นสิ่งที่โบราณ ทั้งที่การทุจริตทุกประเทศทั่วโลกเขาไม่มีกัน

ถ้าให้ผมมองพรรคตัวเอง ผมคิดว่าเราเป็นลิเบอรัลที่เปิดกว้าง ผมก็มี lgbt ที่สนับสนุนกันอยู่ พวกเขาเน้นแนวคิดสร้างสรรค์ไม่คิดทำลาย ผมมีแนวคิดพัฒนาประเทศแบบ Progressive และเรามีความจงรักภักดี royalist อะไรที่เป็นสิ่งดีๆ ประเทศเราก็ต้องเก็บรักษาไว้

แน่นอนว่าเราเองเป็นพรรคเกิดใหม่ คนก็อาจจะมองเราเป็นพรรคสำรองได้ แต่ผมจะขอเวลาพิสูจน์ ผมมีจุดยืนที่ชัดเจน วันนี้การต่อสู้ของเราชัดเจนมาก แล้วก็พรรคใหญ่ทุกพรรคในสนามเลือกตั้งซ่อม เราสู้แบบไม่แคร์ แล้วก็หวังชนะ ไม่ใช่แค่การไปสู้เฉยๆ

ผมเองถูกสร้างมาทำอะไรแล้วต้องทำจริง อย่างตอนเราต่อสู้เรื่องจำนำข้าว รู้หรือไม่ว่าเราสู้จนสุด แม้แต่เราทำพรรคการเมือง เราก็สู้กันจนสุด ใครมาหาว่าเราเป็นพรรคสำรอง วันหนึ่งคงจะอึ้งนะ ว่าเขาเข้าใจผิดไปแล้ว

ขณะเดียวกัน ผมพร้อมจะสู้กับทุกกติกา จะบัตร 2 ใบหรือไม่ว่ากติกาเก่าหรือใหม่ กติกาอะไรก็ได้ แต่ผมแปลกใจระบบการเมืองในสังคมไทย ถามว่าแบบนี้เหรอจะเรียกว่าประชาธิปไตย

ต้องยอมรับว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 เขาได้คิดปฏิรูปการเมืองเรียบร้อยแล้ว เพราะการเมืองช่วง 20 ปีที่ผ่านมาบัตร 2 ใบใช้เงินเยอะ นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นจนกระทั่งพัฒนามาสู่บัตรใบเดียว นี่คือการปฏิรูปการเมืองมีการใช้เงินลดลงเยอะ

แต่พอคุณมาแก้จากบัตร 1 ใบมาสู่ 2 ใบอีกรอบหนึ่ง นักข่าวทุกคนก็จะไปมองว่าพรรคใหญ่ได้เปรียบ พรรคเล็กเสียเปรียบ มันก็สะท้อนว่าคุณใช้เสียงข้างมากของพรรคใหญ่ที่โหวตเพื่อเปลี่ยน ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ไม่มีหรอกที่เอาเสียงข้างมากมาเปลี่ยนเสียงข้างน้อย

ผมเองก็อยากตำหนินะ แต่ผมพร้อมจะสู้หมด แต่จะให้ผมพูดทุกครั้งผมก็จะมองแบบนี้ มันเป็นความผิดพลาดของสภา คุณกำลังดึงประเทศเข้าสู่วิกฤตแบบเก่าๆ ปาร์ตี้ลิสต์บัตรสองใบมันใช้เงินเยอะมาก เนื่องจากนายทุนก็พร้อมไปลงแบบ Party List พอได้ตำแหน่งพวกเขาก็กลับมากอบโกยกันเยอะๆ ก็จะเกิดวิกฤตเรื่องการทุจริตเหมือนเดิม

ผมอยากคุณให้จำคำพูดของผมไว้ว่า อนาคตสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้เกิดปัญหา ผมอยากเตือนหลายรอบ หากฝืนกระทำแบบนี้ เพราะจากการที่จะปฏิรูปการเมือง คุณกลับไปสู่การเมืองแบบปัญหาเดิมๆ ในอดีต

แต่ผมย้ำอีกครั้งว่าผมเป็นนักสู้ สู้หมดทุกกติกา แค่อยากสื่อสารให้ฟัง

สําหรับจุดแข็ง ความแตกต่าง โดดเด่นจากพรรคอื่นๆ หมอวรงค์อธิบายว่า ผมเชื่อว่าพรรคไทยภักดีไม่เหมือนพรรคไหน

1. จุดยืนเราชัดเจน หลายพรรคอาจจะมีการพูดถึงเรื่องปกป้องสถาบัน แต่ความชัดเจนสู้พรรคผมไม่ได้

2. ลองมองย้อนกลับไปว่าปัญหาประเทศที่สะสมมา 20 ปี อยากถามว่ามีพรรคการเมืองใดบ้างที่กล้าคิดแนวทางการปราบโกง ผมเชื่อว่าไม่มี

3. แนวคิดเรื่องเชิงปฏิวัติสังคม เพื่อความอยู่ดีกินดีแท้จริงของประชาชนแบบยั่งยืน

ดังที่ยกตัวอย่างชาวนา บางพรรคเน้นนโยบายจำนำ บางพรรคประกันรายได้ คือเอาเงินไปแจกหมด ทำไมคุณไม่คิดปฏิรูปโครงสร้าง เราก็รู้กันอยู่ว่าชาวนาขายข้าวเปลือกจน แต่คนขายข้าวสารรวย ทำไมคุณไม่ไปแก้ให้ชาวนาเป็นผู้กำหนดขายข้าวสาร โดยทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น

ผมขอยืนยันว่าเราไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่น และความชัดเจนของเราชัดเจนมาก ผมเชื่อว่าเราเป็นพรรคการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่สร้างสรรค์ ผมเคยคิดว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคที่เป็นเชิงอุดมการณ์ แต่ไปๆ มาๆ เป็นการสร้างความขัดแย้งทำลายล้างมากกว่า

ดังนั้น จุดขายจุดแข็งที่ผมบอกก็จะเป็นความแตกต่างของเรา

และผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมพร้อมจะรับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ส่วน target group และ new voter หมอวรงค์มองว่า คนที่มีแนวคิดสอดคล้องกับเรา แนวคิดปกป้องสถาบันหลักของชาติ การปราบปรามทุจริต การเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อดูแลประชาชน ผมมองว่าวันนี้ new voter เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ตอนแรกๆ สมัยใหม่ๆ ก็ดูฮือฮาว่าใช้โซเชียลมีเดีย แต่วันนี้ข้อเท็จจริงมันไหลเข้ามาเยอะมากขึ้น พรรคการเมืองที่คิดว่าเป็นความใหม่ ถึงวันนี้ก็ไม่ใหม่แล้ว เก่าไปแล้ว 3 ปีพิสูจน์ความเก่าเพราะว่าวนเวียนซ้ำซากกับสิ่งเก่าๆ ที่พยายามพูด

ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการ new voter เพราะผมเองรู้ดีว่า target Group ของเราคือกลุ่มไหน และผมเองก็มองว่ากลุ่ม new voter น่าจะเปลี่ยนใจด้วย ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้เป็นนิสิตนักศึกษา ผมมองว่าคนไทยทุกคนมีตรรกะอยู่ในตัว มีเหตุมีผล ต้องมองเห็นว่ามีความจริงใจหรือไม่ ตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรจากแต่ละนโยบาย ผมมองว่าเขาจะเปลี่ยนใจในการเลือกได้

ผมเองเป็นคนชอบคิดใหญ่ การต่อสู้ของเราจะต่อสู้ในเรื่องใหญ่ๆ บางครั้งคนจะมองก็เหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนเราตั้งพรรคการเมืองช่วงใหม่ๆ ประชาชนหรือสื่อเองอาจจะมองว่าเราไม่มีอะไร ลึกๆ เราเองก็ยังมองภาพใหญ่อยู่ เราจะประกาศว่าเราเป็นพรรคใหญ่คนก็จะไม่เชื่อ เราต้องทำให้เห็นก่อน

แน่นอนว่ามันต้องเริ่มต้นจากการเป็นพรรคขนาดกลางก่อนไปสู่ใหญ่

ถามว่าทำไมเรามั่นใจ ผมเชื่อว่าประชาชนเบื่อนักการเมือง เบื่อระบบการเมืองแบบเดิมๆ แล้ว