ไร่สับปะรด / เรื่องสั้น : อรรถสิทธิ์ สมจารี

เรื่องสั้น

อรรถสิทธิ์ สมจารี

 

ไร่สับปะรด

 

สองข้างทางถนนลูกรังทั้งมืดทั้งเงียบ เพราะบางช่วงตอนไม่มีเสาไฟฟ้า รถกระบะสองตอนคันนั้นเหมือนแล่นฝ่าเข้าไปในอุโมงค์ลึกลับ มีเพียงแสงไฟหน้ารถสาดส่องชี้นำเส้นทาง บางขณะรถกระดกกระเดิดขึ้นลงตามพื้นผิวขรุขระ

“แสบดาก” ใครบางคนในรถเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะขัน “สงสัย อบต.เอางบฯ ไปให้เมียน้อยหมด” ใครอีกคนเสริม ทั้งรถพากันฮาครืนกับมุขสามบาทห้าบาท ยกเว้นหญิงที่นั่งด้านหน้า

ในรถมีสี่คน โดยต้อยเป็นสารถี เขาเป็นหนุ่มห้าว หน้าคมเข้มไว้หนวดเคราและมีฝีปากเราะร้าย เป็นเขาเองที่เล่นมุขสามบาทห้าบาทเมื่อสักครู่ ถัดมาตรงเบาะหน้าข้างคนขับชื่อน้าสมร หล่อนเป็นคนในพื้นที่ บุคลิกเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง ส่วนเบาะหลังเป็นที่นั่งของสองหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับต้อย ทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิท ไปไหนไปด้วยช่วยๆ กันเฮ

ทั้งสี่บรรจุชีวิตในรถที่กำลังเข้าทางแยกสู่ตำบลเล็กๆ ติดชายแดนประเทศพม่าของปราณบุรี จุดประสงค์คือส่งน้าสมรที่หมู่บ้าน หลังทั้งหมดกลับจากงานศพญาติของหญิงสูงวัยที่วัดในตัวอำเภอบางสะพาน น้าสมรเป็นน้าสาวแท้ๆ ของโด่งผู้ย้อมผมสีทองเหมือนเด็กแว้นหนึ่งในผู้โดยสาร จะว่าไปแล้วผู้เสียชีวิตก็คือญาติของโด่งอีกที แต่ไม่สนิทนัก ส่วนสองคนที่เหลือได้แก่ต้อยและหนุ่มตัวเล็กชื่อป๋องเป็นเพื่อนของโด่ง ซึ่งทั้งสามทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ โด่งเป็นคนชวนเพื่อน ด้วยเหตุผลว่ามางานศพญาติแล้วเดี๋ยวเที่ยวเมืองปราณฯ ต่อ

สองข้างทางถนนลูกรังที่ทั้งมืดทั้งเงียบมีไร่สับปะรดขนาบข้าง บางทีจะเห็นแสงไฟวับแวมจากบ้านเรือนเป็นหย่อมๆ ราวกับแสงกะพริบของหิงห้อยในราตรีที่สงัดงัน

“จะมืดจะเงียบไปไหนคร้าาาบพี่น้อง ทั้งบ้านทั้งเมือง นี่เพิ่งจะทุ่มเองนะ” จู่ๆ ต้อยก็โพล่งออกมา “ขับรถทางไกล ฟังเพลง MP3 จนหมดโฟลเดอร์แล้ว (จากสมาร์ตโฟนเสียบสายเข้าฟรอนต์เอนด์ของรถ) วิทยุก็รับไม่ติด ชนบ้ทชนบท ไอ้คุณโด่งขอเสียงหน่อยคร้าาาบ” ฮิ้วววว มีเสียงขานรับทางด้านหลัง

“เล่าเรื่องผีดีกว่า จะได้ทำลายความเงียบในหัวใจ” ป๋องเสนอด้วยสำบัดสำนวนน่าหมั่นไส้ “จะเล่าทำเชี่ยอะไรคร้าาาบคุณพี่ป๋อง” โด่งโวย “เล่าไปเล่ามา เด๋วก็โผล่มาให้มึงเห็นหรอก” มันว่า

“จุ๊ๆ เบาๆ” เป็นเสียงของน้าสมรที่นั่งเงียบตลอดทางปราม เพราะเห็นแสงไฟฉายเบื้องหน้า ทั้งหมดในรถเห็นเช่นกัน ต้อยชะลอรถ แล้วพูด “ใครวะ ดึกดื่นป่านนี้ยังออกมาเดินเล่น” จนรถแล่นเข้าไปใกล้จึงเห็นชายชราผู้นั้น ก้มหน้าเดินช้าๆ ส่องไฟฉายลงพื้น

“รับลุงแกขึ้นรถดีกว่า” ต้อยกล่าว “ก็เรามันคนมีน้ำจาาาย” ชายหนุ่มยังทะลึ่ง

“อย่านะ วิ่งไปเลย” น้าสมรพูดละล่ำละลัก จนทุกคนแปลกใจกับน้ำเสียงของหล่อน

ช่วงจังหวะที่รถแล่นผ่านชายผู้นั้น ต้อยเหลียวมองผ่านกระจกข้าง เห็นชายชราผมสีขาว ผิวเหี่ยวย่นที่ยังคงก้มหน้างุดๆ มีจังหวะเดินอย่างเชื่องช้า

ทว่า, รถวิ่งไปได้ 10 เมตรก็ดับ

“เชี่ย! เป็นไรของเมิง” ต้อยสบถอย่างหัวเสีย และมองผ่านกระจกหลัง ไม่เห็นชายชราอีกแล้ว

“เอาแล้วมึง” โด่งพูด “งานเข้าแล้ว”

ต้อยพยายามสตาร์ตรถสอง-สามครั้งจึงติด “งานเข้าเข้ออะไรคร้าาาบ รู้ป่ะ มากะคราย ป๋าต้อยเองฮาฟฟ์” ต้อยคุยโว จนน้าสมรส่ายหัวและยังคงนิ่งเงียบกว่าเก่า

 

ส่งน้าสมรที่บ้าน โดยน้าชวนหนุ่มๆ นอนค้างซะที่นี่ ด้วยเหตุผลว่ากลัวเหนื่อยล้า แต่ทั้งหมดปฏิเสธ เพราะจองที่พักและวางแผนเที่ยวกลางคืนในตัวเมืองแล้ว

“อย่าไปเลยลูก นอนที่นี่เถอะ ปลอดภัยดี จะได้ไม่ต้องเจอ…” น้าสมรพูดได้แค่นั้น เมื่อเห็นท่าทียืนยันของทั้งหมด “เออ…ไปเหอะ โชคดี”

ขึ้นรถ วิ่งกลับทางเก่า ต้อยเอ่ยปากคนแรก “มึงว่าเมื่อกี้เป็นผีเปล่าวะ”

“ไม่แน่ใจว่ะ” โด่งตอบ ซึ่งตอนนี้เขาเปลี่ยนมานั่งหน้า “แต่ทำไมรถผ่านแกแป๊บเดียว มองไม่เห็นแล้ววะ” มันสงสัย

“เออว่ะ” ป๋องคนที่ชวนเล่าเรื่องผีเสริม

“แกอาจจะลงไปเยี่ยวข้างทางก็ได้มั้ง” ต้อยพูด “ท่านผู้ฟังที่เคารพรักครับ ผีเผอไม่มีในโลกหรอกครับ มีแต่คนตายแล้วไม่กลับ เพราะไปที่ชอบที่ชอบแล้วเท่านั้น” มันยิงมุข เก๊กเสียงหล่อเป็นดีเจ

“แต่…พวกมึงได้กลิ่นอะไรมั้ยวะ” ป๋องพูดน้ำเสียงสงสัย อีกสองคนที่เหลือทำจมูกฟุดฟิด และมีคำถามบางอย่างในใจ (แต่เจ้าโด่งไม่วายคิด เพราะมึงแหละอีห่าป๋อง เสือกชวนเล่าเรื่องผี เจอเลยทีนี้)

เข้าเมือง ทุกคนบ่นหิว เลยแวะจอดร้านข้าวต้มเพื่อเติมพลัง ต่างคิดเมนูในใจคนละอย่าง ต้อยอยากกินผัดหอยลาย โด่งอยากกินซูเปอร์ขาไก่ ป๋องอยากกินยำไข่แดง และทั้งหมดอยากกินเบียร์

นั่งในร้านเสร็จสรรพ สั่งเบียร์ก่อนเลย แต่มีเรื่องให้ฉงนอีกแล้ว เมื่อเด็กเสิร์ฟสาวหน้าหงิกจัดวางถ้วยจานสี่ชุด ทั้งสามมองหน้าเลิ่กลั่ก “เฮ้ย…ไรวะเนี่ย” ใครบางคนพูด “บังเอิญม้าาาง” ใครอีกคนตอบ

เด็กเสิร์ฟนำช้อนและตะเกียบมาให้อีกสี่คู่ พร้อมยื่นเมนู

“เด๋วมึงดู ถ้ามันวางแก้วน้ำสี่อัน กูว่าใช่เลย” ต้อยว่า โบกมือไม่เอาเมนู สั่งกับข้าวที่พวกเขาอยากกิน สาวหน้างอจดยิกลงสมุดฉีก (ด้วยภาษาพม่า!)

และแล้วเด็กเสิร์ฟก็ลากชั้นวางที่มีแก้วน้ำสี่ใบและขวดเบียร์วุ้นมา

“มันแน่ๆ” โด่งว่า เขาถามเด็กเสิร์ฟ “น้องๆ พี่มากันสามคน ทำไมให้จานชามสี่ชุดล่ะ”

“อ้าว…ก็หนูเห็นพวกพี่ลงรถมาสี่คน” เธอตอบหน่ายๆ ด้วยภาษาไทยสำเนียงมนุษย์ต่าวด้าว (มนุษย์ต่าวดาว+คนต่างด้าว) แล้วเดินเข้าหลังร้านเพื่อรับอาหารเสิร์ฟโต๊ะอื่น

อาหารครบวางบนโต๊ะ สามหนุ่มกินกันเงียบๆ ไม่มีประโยคสนทนา รู้สึกว่ากับข้าวกับปลาฝืดคอพิกล เบียร์ก็ไม่หวานเหมือนเก่า

กินเสร็จ เช็กบิล ไปเที่ยวต่อ เพื่อให้ความเมากลบเกลื่อนความคลางแคลงใจ

ก่อนหลับคืนนั้น โด่งพูดออกมาคำเดียว “มันแน่ๆ”

 

กลับถึงกรุงเทพฯ เย็นวันถัดไป ต้อยขับรถตระเวนส่งเพื่อน แล้วรีบกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พรุ่งนี้วันจันทร์ต้องตื่นทำงานแต่เช้า ตามวิถีของมดงานที่ต้องหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งรายจ่ายไม่บาลานซ์กับรายรับ ความรู้สึกของคนทำงาน อย่างหลังมักจะน้อยกว่าอย่างแรกเสมอ อันเป็นวิถีสามัญของคนสามัญที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากปากมดลูก เช่นเดียวกับต้อย นั่นก็คือค่างวดรถกระบะคันนั้นแหละ

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะต้อยกำลังใส่รองเท้าเพื่อไปทำงาน ยินเสียงของป้าที่อยู่ทาวน์เฮาส์หลังติดกันยื่นหน้าผ่านรั้วเตี้ยๆ ข้างบ้านเอ่ยทัก ขณะหล่อนรดน้ำต้นไม้ “อ้าวหนู กลับมาแล้วหรือ ทำไมหนูไม่ชวนเพื่อนเข้าบ้านล่ะ ปล่อยให้นอนในรถทั้งคืน”

เพื่อน? ต้อยสงสัย เพื่อนไรวะ? เขาทำได้เพียงยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร เพราะใจไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับมนุษย์ป้าที่ชอบเหลือเกินกับการแส่เรื่องชาวบ้าน!

เวลาผันผ่านไปตามสเต็ป ‘จากเช้าจนค่ำยันอีกวัน ขวนขวายหากินทำงาน รับใช้ใครหนอ…’ เหมือนเนื้อร้องเพลง ‘เสมอ’ ของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ที่ต้อยชื่นชอบ จนเขาลืมไปเลยว่าได้ทิ้งเรื่องราวบางสิ่งไว้ ตอนสายของวันศุกร์ (ซึ่งเป็นวันครบอาทิตย์ที่เขาไปปราณบุรี) เมียซึ่งเป็นแม่ค้าขายซูชิที่ตลาดตอนเย็น โทรเข้ามือถือ น้ำเสียงร้อนรน

“พี่ๆ เมื่อคืนหนูฝัน ตอนเช้ารีบๆ มัวแต่โทรสั่งของมาทำขาย ไม่ทันบอกพี่”

“ว่า…” ต้อยกรอกเสียงลงไป “ให้ไวๆ งานพี่ยุ่ง”

“หนูฝันว่าเห็นชายแก่คนนึง แกปลุกหนู พูดว่าไม่ได้กินข้าวหลายวันแล้ว หิว ลุงตามผัวหนูมาจากที่โน่น เข้าบ้านไม่ได้ เพราะเจ้าของบ้านไม่เชิญ หาอะไรให้กินหน่อย…”

“เฮ้ย! จิงดิ แล้วหนูว่าไง” ต้อยตกใจ (อึ้งกิมกี่ไปสองวิ)

“ความที่หนูหัวไว (ตอนตื่นยังงงตัวเองอยู่เลยว่าพูดไปได้ยังไง) เลยตอบว่าได้สิ แต่ต้องมีอะไรตอบแทนนะ ลุงว่าได้ๆ อะไรล่ะ หนูเลยบอก ขอเลขสวยๆ งวดนี้แบบจัดหนักจัดเต็มหน่อย ลุงแกก็ให้มา นี่ยังจดไว้เลยกลัวลืม ไว้ใกล้ๆ วันความหวังแห่งชาติหนูจะโทรไปแทง หนูบอกถ้าถูกขึ้นมาจริงๆ จะให้ผัวหนูไปส่ง แล้วหนูก็จุดธูป เอาน้ำ เอาข้าว ใส่ถาดวางไว้หน้าบ้าน…ว่าแต่พี่ไปทำไรมา?”

“อ๋อๆ พี่ลืมไปเลย หนูก็รู้ พี่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ เลยไม่ใส่ใจจำ เด๋วกลับไปพี่เล่าให้ฟัง แต่ว่าเย็นนี้พี่ขอไปกินเบียร์กับเพื่อนน้า น้าๆ” ต้อยอ้อนเมีย

“อีกแระ พี่นี่ เออๆ อย่ากลับให้ดึกล่ะ ระวังด่านด้วย” หล่อนพูด

“จ้าที่ร้าาาก เมียพี่น่าร้าาากที่สู้ดดด” ต้อยประจบเมียเป็นคำสุดท้าย แล้วกดวางสาย ขณะเดียวกันในหัวสมองเขามีอยู่อีกหนึ่งคำ ซึ่งเป็นคำพูดของโด่ง “มันแน่ๆ”

 

ความจริงบางอย่างพิสูจน์ไม่ได้ เช่นเดียวกับความเท็จที่บางครั้งก็พิสูจน์ไม่ได้เช่นกัน เมียของต้อยถูกหวยใต้ดินเต็มๆ ห้าหมื่นบาทตามปรารถนา เขาดีใจระคนสงสัย (เพราะได้เมามายอย่างเพียบแปล้-จากการปรนเปรอของเมียรัก-ในเงื่อนไขที่ว่าให้เมาที่บ้าน แล้วไปส่งลุงตามสัญญา-แต่ยังขอเด็ดๆ งวดหน้าอีกงวด-เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นกรด) นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับชีวิตกูวะเนี่ย! ต้อยคิด

หลังผ่านงานเลี้ยงเล็กๆ และครึกครื้นของคนกันเอง ได้เวลาไปส่งลุง ต้อยชวนเพื่อนตัวดีสองคนไปด้วย ตามประสามาด้วยกัน ไปด้วยกัน สุขด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน เฮด้วยกัน

“เอ้าลุง…ขึ้นรถคร้าาาบ” ต้อยพูด ทำท่าผายมือเชื้อเชิญกับความว่างเปล่าตรงหน้า ก่อนออกรถ สองคนนั้นมีการถกเถียงกันเล็กน้อย ว่าใครจะนั่งตรงไหน แล้วลุงที่ว่านั่นจะนั่งตรงไหน ความที่มองไม่เห็นตัวก็เลยคาดเดาไม่ได้ เดาใจไม่ถูก ต้อยเลยตัดรำคาญ “พวกมึงอย่าเยอะ นั่งๆ ไปเหอะ เดี๋ยวลุงแกก็เลือกที่นั่งว่างๆ เองแหละ ชิมิๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” หนุ่มต้อยไม่วายทะเล้น

ปัญหามีอยู่อย่างเดียว คือจะส่งลุงลงที่ไหน เพราะวันนั้นต้อยขับรถตอนกลางคืน เข้าทางแยกถนนลูกรังเขาก็จำไม่ได้แล้ว ยามนั้นมองไม่เห็นอะไรสองข้างทางนอกจากไร่สับปะรดที่ดูเหมือนๆ กันหมด

และแล้วเจ้าป๋องก็ปิ๊งไอเดีย พูดลอยๆ ว่า “เอางี้…ถ้าลุงจะลงตรงไหนก็ให้เครื่องยนต์รถดับตรงนั้นแล้วกัน โอเค้” สองคนที่เหลือผงกหัว เห็นด้วยอย่างไม่คาดคิดว่าคนอย่างป๋องจะมีรอยหยักในสมองส่วนที่ฉลาดๆ เหลืออยู่

“เจ๋งว่ะไอ้ป๋อง มึงคิดได้ไง” โด่งพูดสรรเสริญเพื่อนแบบไม่จริงใจ
“อยู่แล้นนน” ป๋องรับ รู้สึกตัวเองหล่อขึ้นมาทันใด
รถกระบะคันนั้นแล่นไปเรื่อยๆ ต้อยเปิดกระจกให้สายลมโชยใบหน้า เขายิ้มให้กับชีวิต มองวิวทิวทัศน์อันสวยงามและบรรยากาศน่าอภิรมย์ของสองข้างทางที่เขาพลาดไปในคราแรก เพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดอ่อนยังคงอยู่ มองเห็นไร่สับปะรดสุดตา ซึ่งเมื่อได้เวลาจะถูกตัดส่งโรงงานผลไม้กระป๋อง บางส่วนเพื่อบริโภคภายในประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าส่งออกนำเงินเข้าประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มตัวเลขสวยๆ ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ให้ประชาชนชาวเราอยู่ดีมีสุข อันเป็นที่พอใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง-การพาณิชย์หรืออะไรเทือกนั้น ให้มีผลงานบริหารจัดการเชิดหน้าชูตาเป็นที่ประจักษ์ถึงฝีไม้ลายมือ ชูบารมี ชูศักดิ์ ชูศรี แก่วงศ์ตระกูล!

รถกระบะคันนั้นแล่นไปเรื่อยๆ ต้อยเปิดกระจกให้สายลมโชยใบหน้า พร้อมร้องเพลงโปรดตามเสียงที่ออกลำโพงในโฟลเดอร์เพลงเพื่อชีวิตที่เลือกเล่น …กี่วันเดือนปี ผ่านพานชีวิต หลากหลาย ซอกซอนซ้ำๆ โค้งๆ ซ้ำๆ วนๆ…คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ และเป็น… ผ่านท่อน A 2 ไม่ทันจบดีรถก็ดับ ความเงียบจึงบังเกิด
“แล่วๆๆๆ” ต้อยพูดรัวๆ “ตรงนี้ชิมิ…และแล้วก็ตรงนี้ชิมิ”

ทุกคนเปิดประตู พร้อมใจลงจากรถโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างยืนนิ่งไม่มีคำพูด จนสายลมวูบใหญ่พัดผ่าน ต้อยถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยเบาๆ “คงแค่นี้สินะ ไปเถอะพวกเรา ภารกิจเสร็จสิ้น”
รถถอยหลังกลับ มุ่งหน้าสู่เส้นทางสายฝันที่มีชื่อว่ากรุงเทพมหานคร…

 

แต่ความขัดข้องใจยังคงถูกทิ้งร้างไว้ ราวกับตะกอนที่ถูกแรงโน้มถ่วงให้จ่อมจมอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ …จะยังคงจ่อมจมอยู่เช่นนั้น หากไม่ได้รับการคลี่คลายให้แหลกสลายในคำตอบของเงื่อนงำอันน่าฉงน
เป็นโด่งที่ยังคงค้างคา เขาตัดสินใจโทรหาน้าสมร เผื่อว่าจะได้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงบางอย่าง แรกทีเดียวน้าสมรอึดอัดที่จะเล่า แต่ทนลูกตื๊อของหลานชายไม่ไหว หล่อนจึงเล่าให้ฟัง…

ย้อนกลับไปในรถคืนนั้น
“จุ๊ๆ เบาๆ” เป็นเสียงของน้าสมรที่นั่งเงียบตลอดทางปราม เพราะหล่อนเห็นชายผู้นั้น ใช่! ชายผู้ถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ แล้วถูกหมกในไร่สับปะรด ว่ากันว่า วันดีคืนร้ายแกจะมาให้เห็น เป็นที่เลื่องลือทั้งบาง เรื่องราวของแกถูกเล่าปากต่อปาก การปรากฏตัวของแกไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร แต่เหมือนมาร่ำร้องหาอะไรบางอย่าง…บางอย่างที่ว่าอาจช่วยเยียวยาสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเหงา’ ก็เป็นได้

ชายชราผู้นั้นชื่อลุงผัน เป็นหัวหน้างาน รับหน้าที่ดูแลแรงงานในไร่สับปะรด พร้อมจดบันทึกผลิตผลให้นาย และยังเป็นคนขับรถส่งสินค้าด้วย แกเป็นพ่อม่ายเมียตาย ไม่มีลูก อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว มีงานหนักในไร่เป็นเพื่อนสนิท ด้วยว่าโดยนิสัยเป็นคนขยันขันแข็ง และเป็นคนตรงราวไม้บรรทัดที่ยอมตัวเองที่จะหักแต่ไม่ยอมตัวเองที่จะงอให้เสื่อมเสีย และ/หรือเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอๆ แกดูแลผลประโยชน์ให้นายอย่างดี อาจบางทีสร้างความหมั่นไส้เคียดแค้นให้ใครต่อใคร

คืนออกพรรษา คือคืนรวมตัวของขี้เมา คนงานในไร่สรวลเสเฮฮาตามยถา ผ่องถ่ายเหล้าขาวตรารวงข้าว 40 ดีกรีทั่ววง ดื่มกินเพื่อปลดเปลื้องความปวดร้าวของชีวิต (แม้เพียงชั่วคราว) ด้วยตรรกะว่าเหล้าไม่ทำให้ได้คำตอบ…แต่มันทำให้ลืมคำถาม!

ลุงผันเป็นหนึ่งในนั้น แกมีเหตุผลต่างหากของแก คือดื่มให้ลืมความเดียวดาย…แกดื่มโดยไม่รู้เลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของสองหนุ่มวัยฉกรรจ์ชาวพม่า แรงงานต่างด้าวที่ลุงผันรับเข้ามาเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้นาย ด้วยงานหนักค่าจ้างน้อย หรือความชิงชังบางอย่าง ลุงผันเคี่ยวเข็ญพวกมันเรื่องงาน เคยแม้กระทั่งไปฟ้องนายเมื่อทั้งสองอู้หรือเกงาน จนนายคาดโทษขู่ไล่ออกถ้ายังทำผิดซ้ำซาก

เมื่อเหล้าเข้าปาก ความมึนเมาไร้สติพลันบังเกิด ผสมกับความแค้นส่วนตัว ผนวกกับชีวิตที่มองไม่เห็นอนาคต ผสานกับการคิดสั้นๆ กระทั่งวงเหล้าเลิก ต่างแยกย้ายสลายตัว ลุงผันเดินโซเซส่องไฟฉายกลับเพิ่งพัก สองมันเดินตามห่างๆ หนึ่งคนถือท่อนไม้ และอีกหนึ่งถือก้อนหิน เข้าประชิดตัวด้านหลัง

…ความมืดแห่งค่ำคืนโอบล้อมชีวิตลุงผัน ความเงียบแห่งอันธการจุมพิตชีวิตเงียบงัน ความตายแห่งราตรีสยายปีกกกกอดดวงวิญญาณพเนจร

มันเป็นอาชญากรรมแบบบ้านๆ ที่มีผลในคำตอบเหมือนกันไม่ว่ารูปแบบไหน จะงดงามหรือน่ารังเกียจ จะเลิศเลอหรือต่ำต้อย คือจุดจบของชีวิต คือความตายที่ฉุดคร่าลมหายใจของลุงผันให้ขาดสะบั้น ร่างไร้วิญญาณโดนหมกลวกๆ และมีดินกลบทับหยาบๆ รอยเลือดกระเซ็นทั่วบริเวณ แล้วฆาตกรเดินป่าฝ่าเขากลับพม่าตรงตะเข็บรอยต่อแบบง่ายๆ

 

“น้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่เนาะ เห็นว่ากันว่านายโกรธมากที่มาฆ่าคนสนิทเขา ส่งคนข้ามแดนไปตามล่าพวกมันทีเดียวล่ะ เฮ้อ…จะว่าไปสงสารลุงผันแกเนาะ ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยมีความสุข ตายไปแล้วก็ยังไม่มีความสุข ต้องเป็นผีเร่ร่อนอยู่อย่างนี้…จ๊ะลูก…โชคดี…ฝากบอกเพื่อนเอ็งดูแลตัวเองด้วยเนาะ” เป็นคำพูดสุดท้ายของน้าสมรก่อนวางสาย

โด่งวางเช่นกัน แต่ยังกำโทรศัพท์แน่น หวนคิดถึงอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา เขาและเพื่อนได้ใกล้ชิดลุงผันแบบไม่มีตัวตน แบบไม่ตั้งใจ แบบบังเอิญ

…แบบคนมีชีวิตบนความสุ่มเสี่ยงในสังคมที่ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกัน