เปิดหู | งามแสงเดือน จากยุค จอมพล ป. สู่สมัย พลเอกประยุทธ์

อัษฎา อาทรไผท

ขอเกริ่นก่อนว่านี่ไม่ใช่บทความทางการเมือง แต่จะเป็นเรื่องเล่าถึงบทเพลงเพลงหนึ่ง ที่ถือกำเนิดมาในยุคจอมพล ป. และได้สร้างแรงบันดาลใจมาสู่อีกบทเพลงหนึ่งในยุคลุงตู่ เพลงๆ นั้นก็คือ งามแสงเดือน หนึ่งในเพลงรำวงมาตรฐาน ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 เมื่อจอมพล ป. ที่กำลังสร้างกระแสชาตินิยม เห็นว่าควรนำการละเล่นรื่นเริงประจำชาติอย่างรำโทน มาพัฒนาทั้งดนตรี ท่ารำ และการแต่งกาย ให้เป็นแบบระเบียบแบบแผน เพื่อให้ชาวไทยทั้งชาติได้นำมารำกันได้แบบยูนิเวอร์เซิล รำกันมาจากคนละที่ แต่พอมาเจอเพลงแม่บททั้ง 10 ที่พัฒนาขึ้นมา ก็รำกันได้สวยงามอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อกำเนิดเป็นรำวงมาตรฐานขึ้น

โดยในแต่ละเพลงรำวง จะมีท่ารำเฉพาะกำหนดมาให้เลย ซึ่งหลายๆ ท่านน่าจะเคยได้สัมผัสกันมาแล้ว ทั้งท่านที่เคยเป็นหนุ่มสาวในยุคนั้น หรือท่านที่ได้หัดรำกันในวิชานาฏศิลป์สมัยเรียนรำวงมาตรฐาน ที่เป็นท่ารำคู่กันชายหญิง และร่ายรำกันเป็นวงกลมอย่างสนุกสนาน

สำหรับเพลงรำวงมาตรฐานที่จะเล่าถึงในครั้งนี้ คือเพลง งามแสงเดือน ประพันธ์คำร้องโดย จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองสังคีต กรมศิลปากร ทำนองโดยอาจารย์มนตรี ตราโมท มีเนื้อร้องดังนี้

“งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า

งามใบหน้ามาสู่วงรำ (ซ้ำ)

เราเล่นกันเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์วายระกำ

ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย”

เนื้อเพลงสั้นๆ นี้มีความหมายที่ได้ค้นคว้ามาจาก “บ้านจอมยุทธ” เว็ปไซต์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ว่า “ยามที่จันทร์ส่องมายังโลกพาให้โลกนี้ดูสวยงาม ผู้คนที่มาเล่นรำวงยามที่แสงจันทร์ส่อง ก็มีความงดงามด้วย การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน มีความสามัคคี และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป”

เมื่อมาวิเคราะห์เพลงรำวงเพลงนี้ ผมมีความรู้สึกว่าดูจะมีการสอดแทรกแนวคิดทางการเมืองอยู่บ้าง ไหนจะท่ารำที่กำหนดให้ทุกคนควรรำในแบบเดียวกันแทนที่จะฟรีสไตล์ และข้อความที่เรียกร้องความสามัคคี ให้ความรู้สึกเผด็จการ และควบคุมการกระทำอ่อนๆ ซึ่งเมื่อมาถึงยุคนี้ พอได้ฟังก็ทำให้เพลิดเพลินกับการได้รับกลิ่นอายของการเมืองไทยในยุคปลูกฝังชาตินิยมได้เป็นอย่างดี

สำหรับผม เพลงนี้ผมได้ยินตั้งแต่เล็กๆ เพราะเป็นเพลงที่คุณยายผมมักร้องให้ฟังเสมอ จำได้แม่นว่าในช่วงปิดเทอม ผมอยู่กับคุณยาย ท่านมักพยายามพานอนกลางวัน และกล่อมผมด้วยการขับร้องเพลงสมัยท่านให้ฟัง รวมทั้งเพลงงามแสงเดือนนี้ด้วย ทุกครั้งจบลงที่คุณยายท่านผลอยหลับไป ส่วนผมก็ไม่เคยหลับสักครั้ง แต่แม้ไม่หลับ ความทรงจำดีๆ กับเพลงนี้ที่คุณยายร้องให้ฟังเสมอๆ ก็ฝังอยู่ในหัวของผมตลอดมา

จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมตัดสินใจนำแรงบันดาลใจจาก งามแสงเดือน มาเรียงร้อยใหม่เป็นเพลง งามแสงเดือน ในรูปแบบของผมเอง ภายใต้ชื่อ Mola mola Sunshine! ซึ่งห่างจากการมาของเวอร์ชั่นดั้งเดิมถึง 70 กว่าปี วันนี้แม้เมืองไทยพัฒนาไปไกล แต่บางห้วงความรู้สึกอาจไม่ต่างกันนัก

งามแสงเดือน เวอร์ชั่นปัจจุบัน กลายเป็นเพลงรัก นำเสนอบนดนตรีสมัยใหม่ และร้องโดยนักร้องรุ่นใหม่ tuayP เพลงมีกลิ่นอายบางๆ ของดนตรีไทยอยู่ด้วย เล่าถึงการเปรียบเปรยว่าคนที่รักเป็นดั่งพระจันทร์ ที่แม้มองเห็นได้ทุกวัน ก็ไม่อาจเอื้อมมือไปถึงได้ ซึ่งก็คล้ายๆ กับการที่ใครสักคน ไปหลงรักดาราที่หากอยากเห็นหน้าก็แค่เปิดทีวี โซเชียล หรือบางทีเดินไปเดินมาก็อาจเจอหน้าเขาในบิลบอร์ด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเห็น

แต่มันยิ่งกว่านั้น เพราะในกรณีนี้ คนคนนั้นเคยมีผูกพันกับพระจันทร์ดวงนั้นมาก่อน ก่อนที่เขาจะลอยขึ้นไปบนฟ้า พร้อมการลืมเลือนคำสัญญาที่จะมาพบกัน นับเป็นเรื่องเศร้าของคนที่ถูกลืมครับ

ท่านใดสนใจสามารถฟัง งามแสงเดือน ทั้งแบบดั้งเดิมรำวงมาตรฐาน และแบบร่วมสมัยได้ตามสตรีมมิ่งชั้นนำครับ จะให้ดีฟังออริจินัลก่อน เพื่อซึมซับบรรยากาศยุคก่อน แล้วตามด้วยของใหม่เป็นการจบคอร์ส งามแสงเดือน ที่เริ่มอย่างรื่นเริงสามัคคี แต่จบด้วยความเศร้าของการรอคอยใครสักคนที่แม้มองเห็นก็ไม่มีวันกลับมา