หนังสือคือครู / เครื่องเคียงข้างจอ : วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

 

หนังสือคือครู

 

วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” ซึ่งในปีนี้นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้คำขวัญของวันครูประจำปี 2565 นี้ว่า

“พัฒนาครู พัฒนาเด็ก เรียนรู้สู่อนาคต”

เป็นการทำหน้าที่ของคำขวัญได้อย่างดี คือ มีคำสวยหรู ดูดี ถ้าเป็นการเดินทางก็เป็นประดั่งจุดหมายปลายทางที่สวยงามดั่งโลกสวรรค์ แต่ที่คำขวัญไม่ได้บอกไว้คือ “ทำอย่างไร” ซึ่งจะว่าไปมันเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นได้

ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากคำขวัญไพเราะ ฟังดูดี ของวันครูปีที่ผ่านๆ มา ที่จนแล้วจนรอดครูก็ยังคงไม่สามารถสนองการศึกษาของเด็กในปัจจุบันได้จริง ด้วยวิธีคิดและระเบียบทางการศึกษาต่างๆ ที่ไม่เป็นจริงในการพัฒนาครู และศิษย์ อย่างที่ต้องการ

เมื่อพูดถึง “ครู” ร้อยทั้งร้อยเราจะนึกถึงครูที่อยู่หน้ากระดานดำ แต่จริงๆ แล้วมีครูอีกแบบหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง ก็คือ “พ่อแม่” นั่นเอง

พ่อแม่เป็นครูในชีวิตจริงที่สำคัญมากสำหรับเด็ก พ่อแม่จะเป็นตัวอย่างในการคิด พูด และทำให้กับลูก เด็กๆ จะใกล้ชิดกับพ่อแม่มากกว่าครู พ่อแม่จึงเป็นครูตั้งแต่เขาเกิดมา

นอกจากครูที่อยู่ในโรงเรียน ครูที่อยู่ที่บ้านคือพ่อแม่แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เป็น “ครู” ได้อย่างวิเศษ

นั่นคือ “หนังสือ”

 

ในประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาแล้วทั่วโลก ล้วนเป็นคนที่รักการอ่านทั้งนั้น หนังสือเล่มบางๆ หนึ่งเล่มสามารถให้สติปัญญาที่ทำให้ผู้อ่านมีแสงสว่างในชีวิตได้ไม่ยาก หนังสือดีๆ จะให้พลัง ให้แรงบันดาลใจ กับผู้อ่านจนแทบจะลุกมาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชีวิตทันทีเมื่ออ่านจบ

ผมได้รับหนังสือที่ชื่อ “จะข้ามมหาสมุทร อย่าหันไปมองชายฝั่ง” ของหนุ่มเมืองจันท์ ที่ส่งมาให้ผมเมื่อก่อนปีใหม่ เลยใช้เวลาในช่วงข้ามสู่ศักราชใหม่ได้อ่าน และพบว่าหนังสือเล่มที่หนา 192 หน้านี้ ทำหน้าที่เป็นครูได้อย่างดี

“จะข้ามมหาสมุทร อย่าหันไปมองชายฝั่ง” เป็นหนังสือในชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ที่หนุ่มเมืองจันท์สร้างสรรค์ออกมาให้กับแฟนนักอ่านในทุกปี หนังสือชุดนี้ของเขาได้ให้แนวความคิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และแรงบันดาลใจดีดีให้กับผู้อ่านเสมอ แฟนหนังสือของเขาคงรู้ดี

สำหรับเล่มนี้ หนุ่มเมืองจันท์ได้กล่าวในคำนำถึงที่มาของชื่อหนังสือไว้ว่า เขานึกถึง “โคลัมบัส” ในแง่ของ “นักเดินทาง” ความยิ่งใหญ่ของเขาเกิดขึ้นเมื่อตัดสินใจล่องเรือสู่มหาสมุทร ด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่นว่ามี “แผ่นดินใหม่” อยู่เบื้องหน้า

และในหนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างของ “ศรัทธา” และ “ความเชื่อมั่น” ให้เราเห็นตลอดเวลา

 

ผมชอบหลายๆ เรื่องในเล่มนี้ ทั้งที่เคยอ่านมาแล้วบ้าง แต่เมื่อได้ย้อนมาอ่านอีกก็ทำให้เกิดพลังได้ไม่น้อยเลย อย่างเรื่องของนักเขียนดัง “เจ.เค.โรว์ลิ่ง” ที่สร้างแฮร์รี่ พอตเตอร์ ออกมาให้โลกได้รับรู้

ในวันที่เธอล้มเหลวที่สุดในชีวิต ไม่มีงานทำ ยากจนแบบที่จนที่สุดในเกาะอังกฤษโดยที่ยังไม่เป็นคนจรจัด ชีวิตแต่งงานก็พังครืน แต่เธอยังมี “ศรัทธา” ให้กับตัวเองว่าเธอจะสามารถทำได้ อย่างแรกเลยเธอเผชิญกับการยอมรับว่าตัวเองล้มเหลว แต่คนที่ล้มเหลวก็สามารถสำเร็จได้ถ้ามีศรัทธา และความเชื่อมั่น

เธอมานึกว่ายังมีอะไรเหลืออยู่ และเธอก็พบว่า ยังมี 1.ลูกสาวที่เธอรัก 2.เครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆ และ 3.เธอมีไอเดียที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือจินตนาการอันพริ้งเพริศของนิยายแฟนตาซีของพ่อมดน้อยที่ชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์

เธอได้เคยพูดประโยคหนึ่งที่มีพลังอย่างมากว่า “ก้นเหวจึงเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้ฉันสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่”

ก้นเหวที่ว่าก็คือความล้มเหลว และความล้มเหลวที่จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งได้จำเป็นต้องมีความศรัทธา

 

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของ “โชค บูลกุล” แห่งโชคชัยฟาร์ม ที่เปลี่ยนธุรกิจเก่าไปหาใหม่ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่นเช่นกัน

ตอนที่เขาต้องมารับดูแลธุรกิจของครอบครัวที่มีทั้งฟาร์มโชคชัย และโรงงานนมสดตราฟาร์มโชคชัย พร้อมภาระหนี้สินถึง 400 ล้านบาท

โชคมีวิธีคิดที่น่าสนใจ เขาเลือกตัดธุรกิจที่ทำกำไรอย่างโรงงานนมสดทิ้งไป และเก็บฟาร์มโชคชัยที่ขาดทุนไว้ ทำไมเขาคิดแบบนั้น?

เขาคิดว่าธุรกิจโรงงานนมสดนั้นทำง่าย กำไรมาก จึงเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีคู่แข่งมาก เพราะใครก็อยากทำธุรกิจที่ทำน้อยแต่ได้เงินมาก

เขาเดินหน้าต่อกับฟาร์มโชคชัย ที่ทำเยอะ แต่เงินน้อย เพราะอย่างนี้คนจึงไม่อยากทำ คู่แข่งก็จะไม่มี โดยเขาได้เปลี่ยนโฉมให้ฟาร์มโชคชัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ จนทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักฟาร์มโชคชัย นั่นก็มาจากวิสัยทัศน์ของเขา

แต่วิสัยทัศน์หรือนโยบายในมุมมองของเขาสำคัญน้อยกว่า “ความศรัทธา”

“ในบางครั้งศรัทธาที่มีต่อผู้บริหาร สำคัญกว่านโยบายขององค์กรเสียอีก”

โชคบอกว่าเขาใช้คำว่า “ศรัทธา” ในการบริหารงานมาตั้งแต่เริ่มทำงาน เขาทำงานให้คนรู้สึก “ศรัทธา” และ “เชื่อมั่น” โดยตั้งใจว่าในปีแรกธุรกิจของเขาต้องไม่มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดหมุน เวียน ให้มีเงินเข้ามากกว่าเงินออก ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเหมือนทุกปีที่ผ่านมาที่ต้องวิ่งหาเงินมาโปะ

นั่นทำให้บรรยากาศในองค์กรดีขึ้น ทุกคนมีความหวัง และเป็นที่มาของ “ความศรัทธา” จากพนักงานที่มีต่อตัวเขา ยิ่งนานวันโชคก็ยิ่งทำผลงานออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ได้จริง ลูกน้องก็ยิ่งศรัทธามากขึ้น

ผู้นำที่ลูกน้องศรัทธา จะทำให้การสั่งงานและการบริหารงานไม่มีปัญหา หรือมีก็น้อย เพราะทุกคนเชื่อมั่นพร้อมจะทำตาม ไม่เหมือนกับผู้นำที่พนักงานไม่ศรัทธา สั่งการไปก็มักจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ขับเคลื่อนธุรกิจได้ยาก

“ศรัทธา” จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับผู้นำ

 

นอกจากเรื่องของศรัทธาและความเชื่อมั่นแล้ว มีตัวอย่างของหลายคนในหนังสือเล่มนี้ที่พูดถึงการเปลี่ยนมุมมองในชีวิตเมื่อเกิดปัญหา

ตัวอย่างหนึ่งคือ “บอย โกสิยพงษ์” นักแต่งเพลงชื่อดังของบ้านเรา

วันที่เขาสูญเสียพ่อที่เป็นที่รักมาก ชีวิตของบอยจมดิ่งไปเลย เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร จนกลายเป็นโรคซึมเศร้านับเดือน

วันหนึ่งภรรยาของบอยมาเตือนสติว่า แม้เขาจะสูญเสียพ่อไป แต่เขายังมีแม่ และมีภรรยาและลูกที่รักเขาอยู่ ทุกคนต้องการเขาเช่นกัน

นั่นทำให้บอยได้คิดถึงพ่อในมุมใหม่ว่า ถ้าพ่อเขายังอยู่และเห็นเขาเป็นแบบนี้ พ่อคงจะเสียใจและคงจะบอกกับเขาว่า ให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง นั่นคือการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นมาในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้าย

ทำให้เขามีพลังลุกขึ้นมาทำอะไรได้เช่นเดิม ได้ดูแลแม่ ดูแลตัวเอง พร้อมทั้งภรรยาและลูก รวมทั้งได้แต่งบทเพลงที่สร้างกำลังใจให้กับคนฟังที่ชื่อ “Live and Learn” เป็นบทเพลงที่เตือนสติผู้คนได้อย่างดี โดยเฉพาะกับประโยคที่ว่า

“…อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำวันนั้นให้ดีที่สุด…”

 

ย้อนกลับมาที่คำขวัญวันครูประจำปีนี้ที่ว่า “พัฒนาครู พัฒนาเด็ก เรียนรู้สู่อนาคต” นั้น ดูเหมือนกับว่าเราจะอยู่กับ “ความฝัน” มากกว่า “ความจริง”

ก็อย่างที่บอกว่า คำขวัญนั้นมีหน้าที่เพียงการให้คำสวยหรูดูดี โดยไม่มีการบอกว่าต้องทำอย่างไร มันจึงเป็นได้แค่ความฝันสวยๆ เท่านั้นเอง

เหมือนกับเรื่อง “ศรัทธาและความเชื่อมั่น” ที่เขียนถึง ที่ก็หาได้ยากจากผู้นำของประเทศเต็มทีในขณะนี้ ที่ต้องยอมรับว่าศรัทธาในตัวผู้นำนั้นอยู่ในขั้นถดถอยจนถึงระดับวิกฤตทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะลงเรือข้ามมหาสมุทรที่เชี่ยวกรากและเวิ้งว้างได้รอดปลอดภัยจนถึงฝั่งได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้ครั้นจะหันกลับก็คงไม่ได้ เพราะมาไกลเกินกว่าจะกลับลำแล้ว

แหม…เรือท่องมหาสมุทรลำนี้ก็สู้อุตส่าห์ออกแบบมาเพื่อพวกเราโดยแท้ จะมาล่มกลางคันก็ให้มันรู้ไปสิ พ่อแม่พี่น้อง