รายงานผู้ป่วยโควิดโอมิครอนจากกาฬสินธุ์ หายป่วยด้วยตำรับยาโกฐจุฬาลัมพาผสมบอระเพ็ด / สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง

มูลนิธิสุขภาพไทย

www.thaihof.org

 

รายงานผู้ป่วยโควิดโอมิครอนจากกาฬสินธุ์

หายป่วยด้วยตำรับยาโกฐจุฬาลัมพาผสมบอระเพ็ด

 

ข่าวคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ทำให้ฉุกนึกถึงคลัสเตอร์สมุทรสาคร ย้อนไปถึงเพลงหนุ่มนาข้าว (กาฬสินธุ์) สาวนาเกลือ (สมุทรสาคร) ช่างบังเอิญอะไรขนาดนั้น (ฮา)

ต่างกันที่สมุทรสาครเป็นโควิดสายพันธุ์ G ที่เดินข้ามพรมแดนธรรมชาติ แต่คลัสเตอร์กาฬสินธุ์ล่าสุด บินลัดฟ้ามาจากยุโรปนั้นเป็นสายพันธุ์โอมิครอน

ผู้ป่วยชาวกาฬสินธุ์คนหนึ่งตรวจพบเชื้อโอมิครอน ได้แอดมิตเข้าโรงพยาบาลในจังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมปีที่แล้ว มีประวัติคือไปสังสรรค์กับเพื่อนเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม แล้วเริ่มรู้สึกตัวร้อนเป็นไข้เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม จึงกินยาฟ้าทะลายโจร 6 แคปซูลร่วมกับพาราเซตามอล วันละ 3 เวลาจนหายไข้แต่ก็ยังกินยาฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องถึง 5 วัน

ครั้นวันที่ 23 ธันวาคม ทางการพบว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปสังสรรค์ด้วยกันติดเชื้อโควิด ตนเองจึงถูกเรียกตัวไปตรวจ พบผล RT-PCR เป็นบวกทั้งที่ตนเองรู้สึกว่าไม่เป็นไข้แล้ว แต่ก็สแกนปอดพบฝ้า

วันแรกหมอให้หยุดยาฟ้าทะลายโจรโดยเด็ดขาด และให้กินยาฟาวิพิราเวียร์ 9 เม็ด ร่วมกับเพรดนิโซโลนต้านอักเสบ ยาพ่นคอแก้หอบ และยาฟลูมูซิลขับเสมหะพร้อมกับดื่มน้ำเกลือแร่ด้วย

ช่วงนอนโรงพยาบาล 3 วัน อาการไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดลงถึงขนาดสูดหายใจไม่อิ่ม เหมือนขาดอากาศหายใจ นอนหงายปกติไม่ได้ ต้องนอนคว่ำเพื่อให้ปอดทำงานหายใจได้

โชคดีที่ผู้ป่วยรายนี้แอบพกยาสมุนไพรตำรับหนึ่งติดตัวไปด้วย เป็นยาตำรับโกฐจุฬาลัมพาผสมบอระเพ็ดของหมอพระวัดพุทธนิมิต อำเภอสหัสขันธ์ ในจังหวัดกาฬสินธุ์นั้นเอง เมื่อกินยาตำรับนี้โดสแรก 2 แคปซูล สักพักผู้ป่วยก็สามารถนอนตะแคงหายใจได้สบายขึ้น และแอบกินยาหมอพระครั้งละ 2 แคปซูลทุกวัน วันละ 3 เวลา จนถึงวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาลวันที่ 3 มกราคมปีใหม่

ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน ยังไม่ได้ออกมาเลย

โกฐจุฬาลัมพาจีน

 

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นรายงานผู้ป่วย (Case Report) เพียงหนึ่งรายเท่านั้น แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่า ผู้ป่วยหายด้วยยาขนานใด

แต่ผลที่ประจักษ์ด้วยตนเองของผู้ป่วยเชื่อว่า ตนเองมีอาการดีขึ้นทันทีหลังจากใช้ยาโกฐจุฬาลัมพาผสมบอระเพ็ด

และเชื่อว่าถ้าไม่ได้ยาหมอพระ ตนเองก็อาจจะขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว

ดังนั้น แม้เป็นประสบการณ์ของผู้ป่วยเพียงรายเดียว แต่ก็ควรจะมีการศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อโควิดของยาหมอพระตำรับนี้ต่อไป

กล่าวสำหรับโกฐจุฬาลัมพากับบอระเพ็ด ถือได้ว่าเป็นยาสมุนไพรรสขมที่มีสรรพคุณพื้นฐานสำหรับแก้ไข้ได้ผลชะงัดอยู่แล้ว

บอระเพ็ดเป็นยาไทยที่ชาวบ้านรู้จักกันดี ในสรรพคุณดับพิษร้อนถอนพิษไข้ทั้งปวง โดยเฉพาะในหมู่พระธุดงค์ที่เคี้ยวบอระเพ็ดสดแก้ไข้ป่า

ปกติยารสขมจัดมักจะมีคุณสมบัติเย็นอาจทำให้ร่างกายอ่อนแรง ตรงกันข้ามบอระเพ็ดเป็นยาขมที่ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยบำรุงตับขับน้ำดี เจริญไฟธาตุช่วยย่อยอาหารให้แหลก

ส่วนโกฐจุฬาลัมพานั้นแม้จะเป็นส่วนประกอบในตำรับยาแผนโบราณสำคัญของไทยหลายขนาน แต่ก็เป็นเครื่องยาที่ต้องนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะโกฐจุฬาลัมพาที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia annua L. ซึ่งใช้ประกอบยาไทยในตำราพระโอสถพระนารายณ์

ในคัมภีร์สรรพคุณแลมหาพิกัดกล่าวว่า โกฐจุฬาลัมพา “แก้ไข้เจลียง แลแก้ผื่นพรึงขึ้นทั้งตัว เป็นเพื่อเสมหะแลหืดไอ”

บอระเพ็ด

ในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ระบุชัดว่าโกฐจุฬาลัมพามีสรรพคุณหลักคือแก้ไข้เจลียง ซึ่งในสมัยนี้เทียบได้กับไข้จับสั่นหรือมาลาเรียนั่นเอง

แต่สำหรับหมอแผนไทยไข้เจลียงถือเป็นโรคไข้กลุ่มหนึ่งที่มิได้มีอาการไข้วันเว้นวัน หนาวสั่นสะท้านและหอบเท่านั้น แต่มีกลุ่มอาการของไข้เจลียงแต่ละชนิดแตกต่างกันไป 3 สถาน

ได้แก่ ถ้ามีอาการเมื่อยขบตามข้อกระดูก เสียวไปทั้งตัว ปวดศีรษะมากร่วมด้วย แสดงว่าเกิดจากโทษของเสมหะพิการ มือเท้าขาวซีด เรียกว่าไข้เจลียงพระสมุทร

หรือถ้ามีอาการไข้หนาวสั่นสลับกับตัวร้อนจัดกระหายน้ำมาก ปัสสาวะแดง มือเท้าแดง อันเกิดจากโทษของดีพิการเรียกว่าไข้เจลียงไพร หรือไข้ป่า

หรือที่รุนแรงที่สุดคือไข้เจลียงอากาศ มีอาการหนาวสะท้าน เท้าเย็นแต่ร้อนในอกเป็นกำลัง อุจจาระ ปัสสาวะไม่ออก มือเท้าเขียว อันเกิดจากโทษสันนิบาต คือ เกิดเสมหะ ปิตตะ และวาตะพิการให้โทษร่วมกัน

ปัจจุบันมีงานวิจัยสรรพคุณยาของโกฐจุฬาลัมพาซึ่งต่อยอดจากที่ระบุไว้ในคัมภีร์แพทย์แผนไทย พบว่า โกฐจุฬาลัมพาชนิด A. annua มีสารชื่อ อาร์ทีมิซินิน (Artemisinin) ตามชื่อสกุล หรือชิงเฮาซู (Qinghaosu) ในภาษาจีน

สารตัวนี้ออกฤทธิ์ต้านมาลาเรียชนิดฟัลชิปารุม (Plasmodium falciparum) ที่ขึ้นสมองและชนิดไวแวกซ์ (P. vivax) ที่ลงตับและเป็นมาลาเรียเรื้อรัง โดยการทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียในหลอดทดลองของใบโกฐจุฬาลัมพา (A. annua) ที่ได้จากแหล่งต่างๆ ของประเทศบราซิล ใช้วิธีการแช่ (infusion) เตรียมสารทดสอบโดยใช้ผงใบ 5 กรัม แช่สกัดในน้ำเดือด ปิดฝาตั้งทิ้งไว้เป็นเวลา 15 นาที แล้วนำไปกรอง

ผลการทดสอบพบว่าในใบมีปริมาณของอาร์ทีมิซินิน อยู่ระหว่าง 0.90-1.13% ความเข้มข้นของอาร์ทีมิซินินที่ได้ อยู่ในช่วง 40-46 mg/L และพบว่าสารสกัดใบแช่สกัดในน้ำเดือดออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ P. falciparum สายพันธุ์ที่ดื้อยาเดิม

ปัจจุบันสารกับอนุพันธุ์กึ่งเคมีสังเคราะห์ของสารชนิดนี้ได้นำมาใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรียที่ดื้อยาเดิม ทั้งในจีนและในอีกหลายประเทศ

 

ยิ่งไปกว่านั้นมีการศึกษาทางคลินิกที่ยืนยันถึงประสิทธิผล และความปลอดภัยของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากโกฐจุฬาลัมพา (A. annua) เพื่อใช้ระงับอาการปวดและอาการข้อแข็ง ในผู้ป่วยโรคข้อที่สะโพกหรือเข่าเสื่อม

เป็นการศึกษาแบบมาตรฐานด้วยการสุ่มเลือก ควบคุมเปรียบเทียบกับยาหลอก แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากโกฐจุฬาลัมพาในขนาด 150 และ 300 mg และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยได้รับยาวันละสองครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์

พบว่ากลุ่มที่ได้รับขนาด 150 mg มีอาการดีขึ้นและมีอาการปวดลดลงอย่างชัดเจน

ในขณะที่กลุ่มรับยาหลอกและกลุ่มได้รับ 300 mg ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สรุปได้ว่า สารสกัดจากโกฐจุฬาลัมพาในขนาดต่ำ 150 mg มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และระงับปวดในผู้ป่วยกระดูกและข้ออักเสบได้ผลดี

ดังนั้น ขนาดการใช้มีความสำคัญต้องใช้พอดีและไม่สูงเกินไป นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย อุจจาระเหลว หรือคลื่นไส้ อาเจียน

ขนาดที่ปลอดภัยในการใช้ใบโกฐจุฬาลัมพาแห้ง แก้ไข้เจลียง คือ วันละ 5 กรัม แช่น้ำเดือด 300 มิลลิลิตร ปิดภาชนะ 15-20 นาที แบ่งดื่มครั้งละ 100 ม.ล. 3 เวลา ก่อนอาหาร อาการไข้จะทุเลาลงภายใน 3 วันแรกและหายขาดภายใน 7 วัน

แต่หากไม่ป่วยไข้อะไร ไม่ต้องกินเพราะอาจจะได้รับผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น

 

โกฐจุฬาลัมพาเป็นยาออกฤทธิ์แรงและตรง

หมอพระวัดพุทธนิมิต จังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านจึงนำมาทำผงร่วมกับบอระเพ็ดอย่างละเท่าๆ กัน บรรจุแคปซูล ขนาด 500 มิลลิกรัม กินครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร เพื่อแก้ไข้เจลียง

กรณีที่ผู้ป่วยโควิดรายหนึ่งนำมาใช้ได้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ จึงบอกต่อสาธารณะเพื่อให้ใช้ยาหมอพระตำรับนี้แก้ไข้ในช่วงโควิด

หรือหากมีนักวิจัยท่านใดสนใจศึกษาเป็นยาสมุนไพรทางเลือกอีกขนานหนึ่งในการรักษาโควิด ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

เพราะโควิดอาจจะขี่หลังเสือไล่คุกคามคนไทยไปตลอดปี 2565 นี้