ธงทอง จันทรางศุ | ต้นร้าย ปลายดี

ธงทอง จันทรางศุ

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งหลายให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ การประชุมออนไลน์ทั้งหลายของผมจึงผ่อนคลายและเว้นว่างลงไปบ้าง ทำให้ผมมีเวลาพอที่จะไปเดินเล่นดูนู่นดูนี่ตามใจชอบ

หนึ่งในรายการเดินชมอะไรอย่างที่ว่าคือการไปดูนิทรรศการพิเศษเรื่องหนึ่งที่อุทยานจามจุรี 100 ปี

งานที่ว่าเป็นของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์การมหาชนเรียกย่อว่า TIJ จัดขึ้น มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องของการให้โอกาสกับผู้พ้นโทษจากเรือนจำต่างๆ มาแล้วได้กลับคืนสู่สังคม

จากประสบการณ์การทำงานในฐานะรองปลัดกระทรวงที่กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ของกระทรวงยุติธรรมนานหลายปีเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในราชการ

ผมพบว่าการฝึกอาชีพที่มีอยู่ในเรือนจำก็ดี

โอกาสที่สังคมยอมรับและเปิดกว้างพอให้ผู้พ้นโทษกลับมาเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคมก็ดี

เรื่อยไปจนถึงความตั้งใจของผู้พ้นโทษเองที่อยากจะกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคม เป็นเรื่องที่โยงใยและสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

ระหว่างเดินชมด้วยนิทรรศการดังกล่าว ผู้นำชมซึ่งเป็นผู้พ้นโทษรายหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เธอเวียนเข้าเวียนออกเรือนจำอยู่ถึงสามครั้ง พ้นโทษออกมาคราวใดก็มองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปเพราะไม่มีใครยอมรับ ไม่มีอาชีพ

จนรอบสุดท้ายได้รับโอกาสจากทีไอเจ นำไปฝึกอาชีพเรื่องการประกอบอาหารและมอบรถเข็นพร้อมอุปกรณ์ให้หนึ่งคัน สำหรับเปิดร้านขายอาหารตามสั่งบนฟุตปาธของกรุงเทพมหานครในย่านตลิ่งชัน โดยมีการจ่ายเงินค่าเช่าพื้นที่ให้ทางการถูกต้องตามกติกา ชีวิตเธอก็กลับเป็นชีวิตของมนุษย์ปกติที่มีความหวัง

ทุกวันนี้ เธอตั้งรถเข็นขายอาหารตั้งแต่สี่โมงเย็นไปจนถึงสามสี่ทุ่มจึงเก็บของกลับบ้าน รายได้พอเลี้ยงตัวครับ

ที่น่าสนใจกว่ารายได้ คือแววตาและน้ำเสียงขณะที่เธอเล่าเรื่องราวของชีวิตให้ผมฟัง ผมสัมผัสได้ถึงพลังที่จะสู้ชีวิตและโอกาสแห่งความหวังที่จับต้องได้ และเป็นคำสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ต้องย้อนกลับไปอยู่ในเรือนจำอีกแล้ว

คนเราพลาดกันได้ครับ และไม่จำเป็นต้องพลาดไปตลอดชีวิต

ใครเลยไม่เคยทำผิดพลาดบ้างเล่า เพียงแต่ว่าความผิดพลาดนั้นร้ายแรงแค่ไหน และเจ้าตัวแต่ละคนมีความตั้งใจจะแก้ไขความผิดพลาดนั้นอย่างไร

ถัดมาอีกเพียงไม่ถึงสิบวัน ช่วงหยุดยาวหลายวันตอนปีใหม่ ผมชักชวนผู้คุ้นเคยและลูกศิษย์ไปทำบุญต่างจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ แต่ละปีหมุนเวียนเปลี่ยนไปครับ

ปีนี้ตั้งใจเลือกวัดเขาบางทราย ที่จังหวัดชลบุรีเป็นที่หมาย เพราะเคยขับรถผ่านไปผ่านมาตั้งแต่เด็กจนแก่แต่ไม่เคยแวะเข้าไปทำบุญในวัดนี้เสียที

วันนั้นคณะของเราเตรียมสังฆทานไปถวายพระเก้ารูป โดยได้รับความเมตตาจากเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสของพระอารามแห่งนั้นเป็นประธานสงฆ์

ผมเองไม่รู้จักท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสมาก่อน แต่เมื่อพบกันแล้ว ท่านกรุณาบอกว่าท่านเคยฟังผมบรรยายในที่ประชุมสงฆ์มาสองสามครั้งแล้ว ท่านพูดเสียอย่างนี้เล่นเอาผมอายม้วนต้วนไปเลยครับ แหะ แหะ

ทั้งก่อนและหลังพิธีถวายสังฆทาน ผมและพรรคพวกได้นั่งสนทนากับท่านด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะท่านเล่าให้ฟังว่าท่านอายุ 86 แล้ว และท่านบวชเป็นพระเอาเมื่อท่านอายุ 29 ซึ่งนับว่าแปลกพอสมควรสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่โดยมากบวชมาตั้งแต่อายุครบบวชคือ 20 ปีก็บวชเป็นพระกันแล้ว

แต่ถึงแม้ท่านบวชเมื่ออายุมากแล้วเช่นนั้น ท่านก็เจริญไพบูลย์ในพระศาสนาจนได้เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ซึ่งต้องถือว่าเป็นพระผู้ใหญ่มากพอสมควร มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2547 นู่นแล้ว

หลังจากถวายสังฆทานเสร็จ ท่านเจ้าคุณและพระอีกแปดรูปขึ้นจากวิหารไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกเรากันเอง น้องคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าถิ่นชลบุรีและมาร่วมทำบุญกับเราเล่าขยายความต่อไปว่า ที่ท่านเจ้าคุณมาบวชตอนอายุ 29 นั้น มีเบื้องหลังน่าสนใจมากครับ

และเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปของชาวชลบุรีด้วย ไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไร

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเจ้าคุณเมื่อครั้งมีชีวิตเป็นฆราวาส ท่านเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะมั่นคง ตัวท่านเองเป็นนักเลงและใช้ชีวิตทางโลกเต็มเหนี่ยว เมื่ออายุได้ 29 ปีมีวิกฤตเกิดขึ้น โดยท่านมีหนี้สินจากการพนันเป็นจำนวนมาก และที่เด็ดสุดคือท่านมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงรายหนึ่งจนหญิงนั้นมีครรภ์

บิดามารดาของท่านเจ้าคุณเสนอทางเลือกให้ท่านเจ้าคุณเลือกสองทาง

ทางเลือกแรก คือตัดขาดจากครอบครัว แล้วไปใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา รับผิดชอบชีวิตของตัวเองต่อไปตามใจชอบ

ทางเลือกที่สอง คือบวชเป็นพระที่วัดเขาบางทราย มีกำหนดสามปี โดยทางบ้านจะชำระหนี้สินที่ติดค้างให้ทั้งหมด และรับเลี้ยงดูลูกที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี มีเงื่อนไขแถมมาด้วยว่า ถ้าทำอย่างนี้ได้ ครบสามปีแล้วจะมีกิจการอย่างหนึ่งมอบให้เพื่อดูแลปกครองต่อไป

ท่านเจ้าคุณคิดแล้วก็รับทางเลือกที่สอง เหตุนี้แหละครับท่านจึงมาบวชพระตอนอายุมากแล้ว ปีที่ท่านบวชนั้นคือพุทธศักราช 2506

วัดเขาบางทรายนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัดเทพศิรินทร์ เพราะผู้อุปถัมภ์บำรุงสำคัญของวัดเขาบางทราย คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญาณวรเถระ อดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งของวัดเทพศิรินทร์ผู้มีถิ่นกำเนิดและบวชจากวัดนี้ แล้วไปอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ในภายหลัง

เมื่อบวชเป็นพระแล้วท่านจึงได้ไปมาหาสู่กับวัดเทพศิรินทร์ตามโอกาส ครั้งหนึ่งเมื่อใกล้ครบกำหนดสามปี ท่านเดินสวนทางกันกับพระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต ที่คนทั้งหลายเรียกท่านว่า เจ้าคุณนรฯ ภายในถนนทางเดินในวัดเทพศิรินทร์ ท่านผู้เป็นภิกษุพรรษาน้อยจึงหยุดยืนให้พระผู้ใหญ่เดินผ่านไปก่อน เล่าสืบกันมาว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ มาหยุดยืนตรงหน้าและกล่าวกับท่านว่า ถ้าคุณสึกไปไม่ตายก็ติดคุก

ต่อมาไม่นานใกล้ครบกำหนดสามปี ทางบ้านของท่านมาสร้างกุฏิใหม่ขึ้นที่วัดเขาบางทรายหลังหนึ่ง ตั้งชื่อกุฏิว่า “หรรษา” ตามนามสกุลของท่าน เพื่อให้เป็นกุฏิที่พักของท่านพร้อมอธิบายว่า นี่คือกิจการที่ตั้งใจยกให้ดูแลปกครอง

อึ้งไหมล่ะครับ

ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ ท่านเจ้าคุณก็อยู่ในสมณเพศมาโดยตลอด ท่านเป็นกำลังสำคัญในการสร้างวัดญาณสังวรารามมาตั้งแต่ต้น เคยเป็นเจ้าคณะจังหวัดชลบุรีของคณะธรรมยุต และเลื่อนขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้วยวัยวุฒิอยู่ในปัจจุบัน ท่านเป็นที่เคารพนับถือและมีลูกศิษย์ลูกหามากมายเพราะใครได้พบท่านแล้วก็มีแต่ความสบายใจ ได้ความร่มเย็นติดตัวกลับไปทุกครั้ง

รวมทั้งผมซึ่งได้พบท่านเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันนี้ด้วย

ที่ผมนำเรื่องทั้งสองเรื่องมาเล่าติดต่อกันไว้อย่างนี้ เพราะมานั่งนึกว่า ถ้าคนเรามีความตั้งใจมุ่งมั่น มีความแน่วแน่ที่จะทำชีวิตที่ผ่านเรื่องร้ายมาในอดีตให้กลายเป็นชีวิตที่ดีมีคุณภาพอย่างสำนวนที่ว่า “ต้นร้ายปลายดี” ก็มีตัวอย่างที่เห็นได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเจ้าของรถเข็นขายอาหารตามสั่งริมถนนย่านตลิ่งชัน หรือพระเถระผู้ใหญ่ที่มีคนกราบไหว้กันทั้งเมือง อย่างที่ผมมีโอกาสได้พบเห็นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ตรงกันข้ามกับคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ “ต้นดีปลายร้าย” ทำความดีมามากมายตลอดชีวิตแล้วมาหักโค่นตัวเองเสียในตอนจบ ถึงต้องติดคุกติดตะรางก็มี

การเลือกเดินบนถนนทั้งสองเส้น คือต้นร้ายปลายดีหรือต้นดีปลายร้าย เจ้าตัวผู้เป็นเจ้าของชีวิตต้องเลือกกำหนดเองครับ ปัจจัยแวดล้อมอย่างอื่นก็เป็นตัวช่วยเท่านั้น

อันนี้โยมก็ต้องเลือกเอาเองนะ

เห็นไหมครับ อานิสงส์ของการเข้าวัดเขาบางทรายไปแค่ชั่วโมงเดียว กลับออกมาผมยังเทศน์เป็นคุ้งเป็นแควถึงขนาดนี้

ถ้าอยู่ครบ 24 ชั่วโมง ออกมาเห็นจะโกลาหลแน่ โยมทั้งหลายโปรดระมัดระวัง ฮา!