พท.ฝ่าด่าน แลนด์สไลด์ โหรโทนี่ วู้ดซัม ทำนาย ครึ่งปีหลังได้รัฐบาลใหม่ ลุ้นเสียงกระซิบถึง ‘อุ๊งอิ๊ง’-วัน ‘กลับบ้าน’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

พท.ฝ่าด่าน แลนด์สไลด์

โหรโทนี่ วู้ดซัม ทำนาย

ครึ่งปีหลังได้รัฐบาลใหม่

ลุ้นเสียงกระซิบถึง ‘อุ๊งอิ๊ง’-วัน ‘กลับบ้าน’

 

เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2564 การปรากฏขึ้นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในนาม “โทนี่ วู้ดซัม” ผ่านคลับเฮาส์กลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย

เป็นการเคลื่อนไหวภายใต้ความหวังที่เป็นเสมือนแสงไฟท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศที่กำลังมืดมน อันเนื่องจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ทั้งยังสะท้อนถึงความต่างของวิธีคิดในการแก้วิกฤตของอดีตผู้นำประเทศ เปรียบเทียบกับผู้นำประเทศในปัจจุบัน

กระแส “ทักษิณ ชินวัตร” ในนาม “โทนี่ วู้ดซัม” กลับมาร้อนแรงและอยู่ในความสนใจของประชาชนจำนวนไม่น้อย ภายใต้รูปแบบคลับเฮาส์ เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ อังคารเว้นอังคาร

จากนั้นไม่นาน ไพ่การเมืองใบสำคัญของทักษิณ ก็ถูกทิ้งลงมา ด้วยการให้คำแนะนำถึงทิศทางการเมืองและเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าพรรคเพื่อไทยที่ตนเองให้การสนับสนุนจะต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ เพื่อทำให้กลไก 250 ส.ว.ไร้ความหมาย

สิ้นเสียงทักษิณ พรรคเพื่อไทยขานรับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีกลยุทธ์เพื่อเป้าหมายแลนด์สไลด์ ต้องทำเป็นจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่ชนะแบบแลนด์สไลด์ ก็ไม่มีความหมาย

ที่สำคัญต้องได้ ส.ส. 300 เสียงขึ้นไปเพื่อให้การทำงานมีเสถียรภาพและใช้สภาขับเคลื่อนออกกฎหมายเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน

“ถ้าเราได้ 250 เสียง เท่ากับศรัทธาของประชาชนอยู่กับเรากึ่งหนึ่ง ฝ่ายนักการเมืองด้วยกันต้องคิดหนัก ว่าจะอยู่ซีกประชาธิปไตยหรือสนับสนุนระบบเดิมๆ ถ้าเราไม่ทะลุด่านนี้ก็จบกัน หากจะเอา พล.อ.ประยุทธ์ออกไป ไม่ให้ ส.ว.เข้ามามีบทบาทในการเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องแลนด์สไลด์อย่างเดียว” นพ.ชลน่านระบุ

เมื่อไพ่แลนด์สไลด์ถูกหงายทิ้งลงมา ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับฝ่ายผู้มีอำนาจ และเครือข่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม ความหวั่นไหวได้นำมาสู่การเตะสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้ไปถึงฝั่งฝันที่จะได้ ส.ส. 300 เสียงขึ้นไป

รวมถึงการดาหน้าเหวี่ยงแหของบรรดานักร้องระดับไมค์ทองคำ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

ผ่านกลไกลองค์กรอิสระทั้งหลายไม่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเอาผิดนายทักษิณ ชินวัตร ข้อหากระทำการอันเข้าข่ายครอบงำพรรคเพื่อไทย

โดยมีจุดหมายเดียวกันคือยุบพรรคเพื่อไทย

 

ไพ่ใบต่อมาของทักษิณ ชินวัตร คือการส่ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กเข้ามานั่งเป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย

การเปิดตัวอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร กับพรรคเพื่อไทย ในนามประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม น่าจับตา ถือมีนัยยะสำคัญในการขับเคลื่อนของเพื่อไทย

แบรนด์ “ตระกูลชินวัตร” หวนกลับมามีตำแหน่งในพรรค เป็นสัญญาณส่งตรงไปยังฝ่ายรัฐบาลและเครือข่ายอำนาจ ในการเตรียมพร้อมชักธงรบเข้าสู่สมรภูมิการเลือกตั้ง ตามที่หลายคนคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้

แม้ผู้มีอำนาจจะตอบคำถามสื่อมวลชนทำนองว่า ไม่รู้จัก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร คือใคร?

แต่กลับถูกตีความว่าเป็นความพยายามกลบเกลื่อนความหวั่นไหวต่อกระแสคนตระกูลชินวัตร ที่อาจกลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง

เหมือนเช่นที่เคยเกิดมาแล้วในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 49 วัน ในการหาเสียงเลือกตั้ง ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง

“ไม่คิดเป็นนักการเมือง เพียงหวังให้คนรุ่นใหม่มีโอกาส พรรคเพื่อไทยอาจมีโอกาสได้เป็นพรรคการเมืองหลักที่เข้ามาแก้วิกฤต โดยเฉพาะวิกฤตโอกาสของคนรุ่นใหม่ จึงรับที่จะเป็นประธานที่ปรึกษา อยากใช้ประสบการณ์เพื่อทำความฝันของพวกเขาให้เกิดขึ้นมา 3 เรื่องที่อยากปฏิรูป คือ 1.การศึกษา 2.เทคโนโลยี 3.จะต้องส่งเสริม Soft Power อย่างจริงจัง” น.ส.แพรทองธารกล่าวบนเวทีประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย ตุลาคม 2564

พร้อมทิ้งท้ายว่า “คุณพ่อท่านปรารถนาที่จะได้กลับมากราบแผ่นดินไทยอีกครั้ง กลับมากราบผู้มีพระคุณ”

นอกจากอุ๊งอิ๊ง พรรคเพื่อไทยยังได้นักการเมือง “เลือดเก่า” ไหลกลับมาร่วมงานอีกครั้ง

เริ่มตั้งแต่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีที่มาพร้อมคนตระกูลฉายแสง นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงรายหลายสมัย นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรี เป็นต้น

คาดว่าจะมีตามมาอีกหลายคน ที่เป็นกระแสข่าว อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ก็ถูกแซวว่า “ตัวอยู่เพื่อชาติ ใจอยู่เพื่อไทย”

จากความคึกคักและเป็นปึกแผ่นของพรรคเพื่อไทย บวกนโยบายเก่าโดนใจ นโยบายใหม่เข้าตา

แบบนี้จะไม่ให้ผู้มีอำนาจและฝ่ายตรงข้ามหวั่นไหวได้อย่างไร

 

การออกมาขยับของนายทักษิณ ชินวิตร แต่ละครั้ง สร้างความหวั่นไหวให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพ

ถ้าไม่หวั่นไหวคงไม่ออกมาตอบโต้ดุเดือด

การตอบโต้ชนิดดิ้นพล่าน แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้มีอำนาจและรัฐบาล

ดังนั้น เมื่อสบโอกาสหรือมีประเด็นเพลี่ยงพล้ำ ฝ่ายตรงข้ามก็พร้อมใช้กลไกทางการเมืองในมือมาตรวจสอบเอาผิด เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีตกับพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน

กรณีสืบเนื่องจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตแกนนำ จปร.7 ที่ออกมาเปิดเผย อ้างว่าตนเองถูกปลดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า นายทักษิณเป็นคนสั่งให้ปลด เพื่อเตรียมปรับทัพเปิดทางคนรุ่นใหม่

ประเด็นนี้ทำให้ทักษิณและพรรคเพื่อไทยตกเป็นเป้าอีกครั้ง

เมื่อทั้งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายศรีสุวรรณ จรรยา เตรียมยื่น กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย ข้อหาถูกครอบงำจากทักษิณ

กรณีดังกล่าว นพ.ชลน่านได้ชี้แจงในฐานะถูกพาดพิง ปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริงที่พรรคเพื่อไทยปลด พล.อ.พัลลภออกจากการเป็นสมาชิก ยืนยัน พล.อ.พัลลภยังเป็นสมาชิกพรรคแบบตลอดชีพ

อาจเป็นการเข้าใจผิดจากที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคที่ จ.ขอนแก่น โดยพรรคยังเห็นความสำคัญและเตรียมไปกราบเพื่อให้ พล.อ.พัลลภเข้ามามีบทบาทในสิ่งที่มีความสามารถในเรื่องนั้นๆ

ที่สำคัญไม่เกี่ยวข้องกับ “คนแดนไกล” หรือคนนอกที่มาชี้นำ ครอบงำหรือสั่งปลดใครได้

ส่วนที่มีกลุ่มบุคคลไปร้อง กกต.เพื่อหวังเอาผิดจนถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย

หากเป็นการร้องเท็จ พรรคก็พร้อมดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย

 

ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงเรื่องนี้ผ่าน The Room 44 ว่า

มีบางคนได้ประโยชน์ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบ มีพรรคการเมืองที่ได้ประโยชน์อยู่ อย่างกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ยืนยันไม่รู้เรื่องและไม่ได้โทร.คุยกันหลายปีแล้ว จึงสงสัยทำไมมาโวยเช่นนี้

อดีตนายกฯ ยืนยันที่ผ่านมาไม่ได้เข้าไปยุ่งกับการทำกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย เพียงแต่พูดคุยกันในฐานะคุ้นเคยรู้จักในเรื่องทั่วๆ ไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สื่อนำไปพาดหัวกลับเป็นเรื่องที่นายทักษิณวิเคราะห์คาดการณ์การเมืองครึ่งปีหลัง 2565 อาจมีการยุบสภา เลือกตั้งใหม่และได้รัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้

แต่ที่ฮือฮากว่า คือการที่นายทักษิณกล่าวในคลับเฮาส์ CARE คิด เคลื่อน ไทย อวยพรคนไทยในปี 2565 ตอนหนึ่งว่า อยากอวยพรขอให้ได้ตนกลับบ้าน เผื่อเอาไปใช้งาน พร้อมระบุถึง 4 สาเหตุที่อยากกลับบ้าน

1.ต้องการเลี้ยงหลาน 2.ใครเป็นรัฐบาลก็ช่าง ถ้าอยากใช้ตนคิด ให้ช่วยคิดช่วยวิเคราะห์แก้ปัญหาให้ก็พร้อม ไม่คิดเงิน 3.จะรับจ้างบรรยาย ใครชวนบรรยายที่ไหนก็ไป ขอแค่โอเลี้ยงแก้วเดียวก็พอ 4.จะไปชวนบรรดาเศรษฐีในเมืองไทยมาลงขันช่วยส่งเสริมสตาร์ตอัพ

“นี่เป็นหน้าที่ของคนแก่คนหนึ่ง แล้วไม่ต้องห่วง ใครที่ด่าผมไว้เยอะแยะ ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรหรอก โดยจะกลับไปอย่างสันติ จะเปลี่ยนชื่อเป็นสันติก็ยังไงอยู่ ถ้ากลับไปไม่เป็นปัญหากับประเทศไทยแน่ แต่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและคนไทย”

อดีตนายกฯ ย้ำว่า หวังว่าปีนี้ตนจะเป็นของขวัญให้คนไทย ด้วยการได้ทำงานรับใช้คนไทยและประเทศไทย

“ส่วนจะไปช่วงไหน เมื่อไหร่ ผมจะกระซิบน้องอิ๊งคนเดียว น้องอิ๊งจะเป็นคนบอก คนอื่นผมไม่บอกเลย บอกไม่ได้” โทนี่ วู้ดซัม ระบุ

การประกาศเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” การที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็นที่ปรึกษาพรรค สุดท้ายการที่ “ทักษิณ” พูดถึงการเดินทางกลับเมืองไทยภายในปีนี้ ทั้ง 3 เหตุการณ์มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างไร

ครึ่งหลังปี 2565 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะเจอวิกฤตศรัทธาจนต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ จริงอย่างที่ “คนแดนไกล” คาดการณ์ไว้หรือไม่

ต้องเกาะติดสถานการณ์ห้ามกะพริบตา