ยังมีชีวิตอยู่ / เรื่องสั้น : ชาคริต โภชะเรือง

เรื่องสั้น : ชาคริต โภชะเรือง

 

ยังมีชีวิตอยู่

 

เราอยู่ท่ามกลางตึกสูงปราดเปรียวแห่งเมืองระกา ทว่าถนนทุกสายว่างเปล่า เมืองปิดตาย…ไร้สิ่งมีชีวิต ข้าพเจ้าพลันนึกได้ว่าเป็นเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแท้เชียว

“นี่ล่ะความฝันของข้า…ว่าแต่เอ็งจะไปด้วยกันไหมล่ะ” เขาเชื้อเชิญเป็นทำนองว่าตั้งใจชวนข้าพเจ้าลงไปด้วย

ข้าพเจ้าพยักหน้า ได้แต่เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย แล้วราเชนทร์ก็พูดขึ้นอีกว่า “ข้าอยากจะเห็นภาพเมืองนี้กับตาตัวเอง”

“อ้อ”

เขาจดจ้องไปยังอะไรบางอย่างที่ไกลออกไป อาจเป็นทิวเขาพนมไพรที่อยู่ไกลแสนไกล ซึ่งเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ว่างเปล่าดุจถนนสายนี้ ที่ไหนสักแห่งบนโลกอันเวิ้งว้างบนดาวเคราะห์ไกลโพ้นที่แม้แต่มนุษย์สักคนก็ไม่เคยไปถึง หรือที่ไหนสักแห่งในจักรวาลแห่งนี้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในความทรงจำของใครสักคนแล้วข้าพเจ้าบังเอิญพบพาน ทว่าเราพบเพียงตึกสูงๆ หน้าตาพิลึกพิลั่นไม่น่าไว้วางใจ อวดโอ่เรือนร่างอันสูงชะลูดพลางเขม็งจ้องมองลงมาอย่างข่มขู่ เราได้แต่ทอดสายตาขึ้นไปเมียงมองด้วยความละอาย พวกมันเบียดเสียดแย่งขึ้นไปหาความเวิ้งว้างว่างเปล่ากว่าของมวลอากาศ พ้นไปจากความโปร่งโล่งของท้องฟ้ายามบ่าย ดวงอาทิตย์หลบเร้นหลังปุยเมฆที่แผ่ตัวหนาเป็นก้อน ราเชนทร์บอกว่าแค่คิดว่าทุกอณูของความอากาศเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็นก็แทบบ้าแล้ว เออ ไวรัสอวตารเสียด้วย…ราวกับว่าไม่มีอะไรปรากฏนอกจากรูปร่างของความว่างเวิ้งว้างไร้ชีวิต…

ตรงสามแยกตัดกับศูนย์การค้าใหญ่ ไฟจราจรกะพริบวาบแสงสีเหลืองสม่ำเสมอ มีรถมอเตอร์ไซด์คันเดียวจอดอยู่บนถนน ข้าพเจ้ามองเห็นแมวตัวหนึ่งนอนอาบแดดอยู่บนทางเท้าอย่างเดียวดาย ร้านตัดผมปิด ศูนย์การค้าปิด ร้านทองปิดกิจการ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เคยไปนั่งสูบบุหรี่ตรงระเบียงก็ปิด

เมืองหงอยเหงา ร้างไร้ชีวิต ผู้คนต่างเก็บตัวอยู่ในบ้านตามคำสั่งปิดเมืองของรัฐบาลกลาง แต่ก็เต็มไปด้วยร่องรอยของความแตกตื่น

ถนนประชาบดี 1 ทอดยาวไปข้างหน้าขนาบด้วยตึกสูงว่างเปล่า ให้ความรู้สึกแปลกตาไม่คุ้นเคย เราเดินทอดน่องเอ้อระเหยไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีอะไรต้องรีบเร่ง ป้ายแคมเปญโฆษณาอาหารสำเร็จรูปถูกปลดออกไปหมดแล้ว หน้าธนาคารกับร้านสะดวกซื้อเมื่อก่อนเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน แต่วันนี้ว่างเปล่า

มันเหลือเชื่อเกินไปที่จะบอกตัวเองอย่างนั้น

อาจเป็นไปได้ว่าเขาอยากจะหาอะไรสักอย่างที่จะทำให้ลืมสิ่งที่รบกวนใจ นี่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ

เขาเผลอเอามือลูบจมูก พลางกระแอมเบาๆ เป็นอากัปกิริยาที่เขาทำเป็นปกติ ข้าพเจ้าคุ้นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ดูเหมือนอาการผะอืดผะอมจะหายไปแล้ว ข้าพเจ้าเพี่งรู้ว่าการเปลี่ยนสถานที่ก็ช่วยให้เราหลุดพ้นไปจากอาการหมกมุ่นในใจลงได้บ้าง

แต่สำหรับเขาแล้วกลับตรงกันข้าม

ข้าพเจ้ารู้ว่าถ้าเราเดินทางไปเมืองไทรบุรีก็ไม่ต่างออกไป เมืองกลันตันก็ร้างไร้ผู้คน ทุกแห่งปิดเมือง ออกประกาศห้ามผู้คนออกจากบ้าน เกิดความชุลมุนโกลาหลไปทั่ว ตั้งแต่มีข่าวว่าเมืองสะอุเลาเกิดจลาจลมีการปล้นเมืองกลางวันแสกๆ ผู้คนก็เลยเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

ราเชนทร์ไม่ฟังข้าพเจ้าเลยสักนิด เอาแต่มองไปยังตึกสูงที่เคยเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าใหญ่ และกระทรวงศึกษาธิการ ที่นั่นรายล้อมไปด้วยโรงเรียนติวเตอร์ โรงเรียนนานาชาติน้อยใหญ่

เขาเดินพล่านไปทั่วเมือง พากันแตกตื่นกับความเงียบ สาระวนสำรวจซอกเล็กซอกน้อยที่ไม่เคยเดินผ่าน ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ถูกมองข้าม

เหนื่อยมากเข้าเราก็เลยนั่งพัก ลมพัดมาสัมผัสร่าง ข้าพเจ้าได้กลิ่นน้ำหอมลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ วูบหนึ่งเราไม่คิดอะไร ไม่มีอะไรเข้ามากระตุ้น

ข้าพเจ้ากับเขาล้มตัวลงนอนแผ่ตรงกลางถนน จินตนาการว่ากำลังพักผ่อน ฝันถึงฤดูของวันหยุด ฤดูกาลแห่งการผ่อนคลาย!

ราเชนทร์แหงนมองตึกสูงจากมุมนี้ ท้องฟ้าใสแจ๋วปานกระจก หมู่เมฆเคลื่อนตัวเชื่องช้า ท้องฟ้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของสายตากำลังเต้นรำขยับเขยื้อน

ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงการส่งต่อความร่าเริงบริสุทธิ์ราวกับเด็กทารกลงมาจากท้องฟ้าสู่หมู่ตึกแข็งกระด้างทึบตันเย็นชาเบื้องล่าง ตึกที่เป็นหนุ่มใหญ่ใส่สูทหรูหราราคาแพงแถมเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว กำลังยืนหน้ามุ่ยรอรับ มุมที่เรายืนอยู่จะเห็นเหลี่ยมตึกบิดเป็นรูปทรงเรขาคณิตดูแปลกตา

“ฮาๆๆ มนุษย์หวนกลับเข้าถ้ำ มุดหัวหลบอยู่ในแต่กระดอง”

หน้าข้าพเจ้าชาไปหมด

 

ข้าพเจ้านึกภาพว่าหากเป็นเวลาปกติ ที่นี่คงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทุกนาทีจะมีพ่อค้าหาบเร่สักคนเดินผ่านเราไป ราเชนทร์เช็ดน้ำตาด้วยท่าทีเหมือนเด็กขี้แยตัวกะเปี๊ยกคนหนึ่งเขาเริ่มพูดถึงความหลังเมื่อครั้งเป็นเด็ก เอ่ยถึงเมืองอันเงียบสงบ ราเชนทร์เอ่ยถึงเมืองนี้จากความทรงจำในวัยเยาว์ที่ไม่อาจหวนคืนมาอีก บ่นไปเรื่อยตามประสาครูบาอาจารย์ที่เขาเป็นมาทั้งชีวิต

ราเชนทร์เปลี่ยนป้ายโฆษณามือถือ 5 G เป็นป้ายรีสอร์ตริมทะเลทำด้วยไม้ทาสีขาวหม่นมัวราวกับขนแกะ เปลี่ยนยอดตึกแหลมของปูนกระด้างและกระจกเป็นหลังคาหน้าจั่วของรีสอร์ตทาสีขาวควันบุหรี่

ท้องฟ้าเดียวกัน ราเชนทร์เดินตรงไปยังที่จอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อที่มีทุกซอกทุกซอยของเมืองระกา เขาจะพบผู้หญิงใจเปลี่ยวอ้างว้างสักคน

อ้อ หล่อนถูกโลกทอดทิ้งไม่เหลียวแล หล่อนควรมีสายตาสีน้ำตาลเข้มที่แฝงความโศกเศร้า ร่างเล็กนิดเดียว ตัดผมสั้น ใส่เสื้อกล้ามตัวเดียว ตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง ราเชนทร์เผลอไผลคิดไปว่าหล่อนสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ บางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดถึงวัยเด็ก ราเชนทร์จะชวนหล่อนดื่มให้กับชีวิตที่เปลือยเปล่า ชวนหล่อนกลับเข้าห้องนอนเปิดทีวีดูข่าวที่ไม่เป็นข่าว ละครที่มีแต่เรื่องเก่าๆ กลับมาออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาและหล่อนจะรำคาญเกมโชว์ บ่นเบื่อหน่ายทุกอย่างที่มีรอบตัว ไม่มีอะไรได้ดังใจสักอย่างเดียว พวกเขาต่างสบถ ราเชนทร์จะถอดเสื้อสูทออก นอนคว่ำนอนหงายอยู่บนเตียง เขาอาจจะนอนไม่หลับแทบทั้งคืน บางทีเขาอาจรู้สึกปวดแปลบจับใจ คิดไปถึงครอบครัวที่หย่าร้างด้วยว่ามันยากจะทำใจ

บนถนนที่เงียบสงบเขาจะหลับตาลง นอนคุดคู้เหมือนเด็กทารก แผ่นหลังสัมผัสผิวขรุขระอันอบอุ่นของถนนลาดยางมะตอย ราเชนทร์เฉไฉไปเอ่ยถึงเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็น ด่าทอโลกโสมมใบนี้จนหนำใจ ปล่อยให้ร่างกายสัมผัสอากาศยามเช้าอันเย็นชื้นออกมาจากลมหายใจอันอ่อนระทวยของหล่อน เขาสัมผัสถึงสายลมที่โหมพัดแรงพัดกระโชกมาจากเรือนกายอันผ่าวร้อนทว่าอบอุ่นของหล่อน

แล้วก็มาถึงสามแยกใหญ่ ราวจะเดินหายเข้าไปในหมู่ตึกอันอ้างว้าง เขาเห็นเด็กๆ ยืนกันหน้าสลอนเคารพธงชาติ ใบหน้ามอมแมม แก้มเปรอะเปื้อน ดวงตะวันเดียวกันเขามองหาดวงตาหยาดเยิ้มที่กำลังเพ่งมองมาอย่างไร้เดียงสา

ราเชนทร์เห็นดวงตาเปลี่ยนเป็นสองมือนุ่มเนียนร้อนผ่าวคู่นั้นโอบกระชับร่างของเขาเอาไว้ เขาโถมเข้าหาร่างบอบบาง กระชับร่างเบียดแน่น ราเชนทร์พลันได้ยินเสียงที่ร้องออกมาแผ่วเบา “ครูขา!!”

เขาเผลอสบถออกมาเป็นไฟแลบ

 

จากท้องฟ้าที่เรามองอย่างเต็มตามาสู่เชื้อไวรัสที่ไร้ตัวตน กลับมาสู่ความเป็นจริง ราเชนทร์บอกข้าพเจ้าว่าฉงนใจ แตกตื่นกับระยะห่างระหว่างปุยเมฆกับพื้นถนน ห่างไกลจนไม่อาจคาดคะเนได้

“ผมอยากจะทำอย่างนี้มานานแล้ว” ราเชนทร์พูด น้ำเสียงเขาสดใส แววตาแตกต่าง

เขาพลันพลิกตัวลงนอนคว่ำหน้า อกแนบพื้น แล้วเหยียดปลายนิ้วลูบไล้ไปบนผิวขรุขระอบอุ่นของพื้นถนน

ราเชนทร์เพลิดเพลินอยู่ในโลกของตัวเอง หลุดพ้นจากโลกที่สับสนอลหม่าน มันดูคล้ายเป็นภาพกลับหัวที่ต้องห้อยหัวลงดูจึงจะมองเห็นความเป็นไป

เขาเผลอหัวเราะออกมา แล้วสบถเป็นไฟ ถ้อยคำนั้นมิได้ช่วยทำให้ตัวข้าพเจ้าเหมือนตกลงมาจากที่สูง…ไม่ใช่สิ ข้าพเจ้าเหมือนกำลังหล่นร่วงจากที่สูงลงมาอยู่ในโลกที่ทุกอย่างล้มคว่ำระเนระนาด สูญเสียความหมายเดิมไปจนหมดสิ้น ข้าพเจ้ามองหน้าเขา สูญเสียความนับถือในตัวเองไปด้วย พังทลายไปทุกส่วน พลันแตกสลาย กลายเป็นฝุ่นผง ล่องลอยไปในอากาศเหมือนเชื้อไวรัส

เมื่อครู่เขาเปรยถึงมวยตู้ เพ้อไปถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลที่เลิกราไปกลางคัน คอนเสิร์ตใหญ่ก็ถูกเลื่อนตั๋วไปไม่มีกำหนด

เห็นได้ชัดว่าเมืองสะอาดเอี่ยมใหญ่โตก็จริง แต่ร้างไร้ชีวิต คนงานต่างด้าวหนีกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เถ้าแก่เมืองระกากับพลเมืองชั้นสามที่เกียจคร้าน รักสบาย

ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูด น้ำเสียงใคร่ครวญจนดูไม่เหมือนคนที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก ราเชนทร์สวมวิญญาณกวี

“นี่คือเปลือกผิวแห่งชีวิต” เขาพล่ามไม่หยุดปาก “เราสวมมันเอาไว้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ฝังลึกเกาะกินจิตวิญญาณจนเราด้านชา…เราแตกสลาย เป็นผุยผง กลายเป็นไวรัสในละอองอากาศ จำเป็นต้องลอกคราบอวตารเกิดใหม่…เมืองๆ นี้ก็เช่นกัน อ้า แล้วนี่เราทำอะไรอยู่รึนี่? จมอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วเราเอาเวลาไปปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรหมดล่ะ”

นั่นสินะ ข้าพเจ้าตัดความรำคาญเลยเออออห่อหมกกับเขาไปด้วย

ไล่ตามเหลี่ยมหลืบแห่งตึกสูง กระจกและท้องฟ้าอ้าแขนต้อนรับ แต่ทำอย่างไรไม่อาจไปถึงได้ ราเชนทร์รู้สึกประหนึ่งโลกใบนี้เต็มไปด้วยเงารางๆ ขวางเอาไว้ เขาขนลุกซู่ ข้าพเจ้าได้แต่มองอย่างกลัดกลุ้ม

ในเสียงแห่งความเงียบงันนั้น ราเชนทร์รู้ได้ในวินาทีนั้นว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง

ในท่ามกลางเงารางๆ นั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสะอื้นร่ำไห้ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมามองเห็นตัวเขาจมอยู่กับความโดดเดี่ยว และแผดร้องตะโกนขึ้นไปสุดเสียง

“ไอ้ไวรัสหัวด…กูยังไม่ตายโว้ย!”

นี่ล่ะเรื่องราวในยามบ่าย ที่ข้าพเจ้าอยากเล่าให้พวกคุณฟัง