ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
มองอนาคตโควิด-19
การแพร่ระบาดจะสิ้นสุดตรงไหน?
นับจนถึงเวลานี้ก็เป็นเวลา 2 ปี 1 เดือนแล้ว ที่เชื้อไวรัส Sars-Cov2 ไวรัสก่อโรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก สร้างหายนะทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมากมายมหาศาล
ซ้ำร้ายยังเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโควิด-19 สายพันธุ์ ‘โอไมครอน’ ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียง 1 เดือนมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากกระจายไปใน 130 ประเทศทั่วโลก
“โอไมครอน” ยังถูกคาดการณ์เอาไว้ด้วยว่าจะแพร่ระบาดด้วยความเร็วในระดับที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากถึง 3,000 ล้านคน ภายในเวลา 4-6 เดือนข้างหน้า เท่าๆ กับจำนวนผู้ติดเชื้อรวมจากโควิด-19 สายพันธุ์เดิมๆ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ผ่านประสบการณ์กับโควิด-19 มาแล้วกว่า 2 ปี ประชากรโลกเริ่มมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ส่งผลให้ยอดป่วยหนักอยู่ในระดับต่ำ ยิ่งกว่านั้นมีการค้นพบว่าเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงเหมือนกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ด้วย
นั่นนำไปสู่คำถามสำคัญคือ “การแพร่ระบาดจะสิ้นสุดลงตรงไหน?”
คําตอบที่ชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกก็คือการแพร่ระบาดจะสิ้นสุดลงแน่นอน แต่นั่นจะไม่เกิดขึ้นแบบ “พลิกฝ่ามือ” แต่โลกจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ที่จะอยู่คู่กับมนุษย์ไปตลอดกาล
และสิ่งที่ต้องทำก็คือการกำหนดเป้าหมายที่จะถือว่าเป็น “จุดสิ้นสุด” ของการแพร่ระบาดอย่างเป็นทางการให้ได้นั่นเอง
แน่นอนว่า “องค์การอนามัยโลก” จะต้องเป็นผู้พิจารณาว่า “เมื่อใด?” ที่จะเรียกได้ว่าเป็นการสิ้นสุดการแพร่ระบาดอย่างเป็นทางการ
เช่น การพิจารณาจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละประเทศ จำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือยอดผู้เสียชีวิตที่ลดต่ำลง ซึ่งถึงเวลานี้เกณฑ์ดังกล่าวก็ยังไม่ชัดเจน
แต่ที่พอจะคาดการณ์ได้ก็คือ จุดที่โควิด-19 จะกลายเป็น “โรคประจำถิ่น” เป็นการแพร่ระบาดที่อยู่ในสถานะคงที่และเป็นที่ยอมรับได้ในวันใดวันหนึ่ง
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เวลานี้ “โควิด-19” ที่ยังมีสถานะเป็น “โรคระบาด” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 2.7 ล้านคน เทียบกับ “ไข้หวัด” ที่เป็นโรคประจำถิ่นที่คร่าชีวิตคนปีละ 290,000-650,000 รายต่อปี
ซึ่งก็ยังคาดการณ์ได้ลำบากว่าโควิด-19 จะไปอยู่ในระดับเดียวกับไข้หวัดได้เมื่อใด
อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มความรุนแรงของเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนที่ต่ำกว่าเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้า หลายประเทศเริ่มปรับแผนการรับมือโควิด-19 ให้กระทบกับสังคมและเศรษฐกิจน้อยลง
เช่นใน “สหรัฐอเมริกา” รัฐบาลประกาศชัดเจนถึงมาตรการแบบ “นิวนอร์มอล” ด้วยการฉีดวัคซีนประชาชน วางมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ รวมไปถึงลดระยะเวลากักตัวของผู้ติดเชื้อลงเหลือ 5 วัน
ด้าน “อินเดีย” แม้จะสูญเสียชีวิตผู้คนไปมหาศาลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ “เดลต้า” แต่หลังจากนั้นยอดผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 10,000 คนต่อวันต่อเนื่องนาน 6 เดือนก่อนที่ยอดจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากสายพันธุ์ “โอไมครอน” นั่นเป็นสถานการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญในอินเดียมองว่าเป็นแนวโน้มทิศทางเดียวกันกับที่โรคประจำถิ่นอย่าง “ไข้หวัด” และ “โรคหัด” ที่กลับมาแพร่ระบาดเป็นช่วงๆ ไป
ขณะที่ใน “แอฟริกาใต้” จุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของ “โอไมครอน” ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ก็ประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคลงแล้วหลังยอดผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
คำถามต่อมาก็คือ สถานการณ์จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดระดับนานาชาติเห็นตรงกันก็คือ หลังผ่านช่วงสูงสุดของการแพร่ระบาดไปแล้ว ไวรัสสายพันธุ์ “โอไมครอน” ซึ่งจะครองโลกแทนที่สายพันธุ์ “เดลต้า” แน่นอนนั้น จะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรงเหมือนสายพันธุ์เดิมๆ
หนึ่งในข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญก็คือ เชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดในช่วงแรกจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงแต่จะค่อยๆ รุนแรงน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วจากโคโรนาไวรัสที่กระโดดจากสัตว์สู่มนุษย์ 4 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ โคโรนาไวรัส OC43 หรือ “หวัดรัสเซีย” ที่ระบาดจากปศุสัตว์สู่คนในปี 1889 ไวรัสดังกล่าวมีอาการป่วยเหมือนโควิด-19 กินเวลาแพร่ระบาดราว 4-5 ปีเท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าไวรัสโควิด-19 จะกลายพันธุ์ต่อไป และทำให้มนุษย์ต้องได้รับวัคซีนบูสเตอร์ชนิดที่พัฒนาตามสายพันธุ์ไวรัสบ่อยขึ้น ขณะที่ตัวไวรัสเองแม้จะแพร่ระบาดได้ง่ายแต่มีความรุนแรงลดลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดิมๆ และจะทำให้ระบบสาธารณสุขลดความหนาแน่นลงไปถึง 95 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
ในส่วนของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จะพัฒนาขึ้นเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ๆ โดยผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า วัคซีน “ไฟเซอร์” ช่วยกระตุ้นให้ “เซลล์ทีเฮลเปอร์” ซึ่งทำหน้าที่พัฒนาความสามารถของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ผลิตภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งและหลากหลายมากขึ้นจนถึงขั้นป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยทิม คอลบอร์น ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ระบุถึงความเป็นไปได้ในกรณีที่ไวรัสโควิด-19 อาจกระโดดจากมนุษย์ไปสู่สัตว์ และกลับมาระบาดในมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขนานใหญ่
รวมไปถึงมีโอกาสที่จะเกิด “เจเนติก รีคอมบิเนชั่น” หรือการผสมยีนระหว่างไวรัสคนละสายพันธุ์ เช่น “โควิด-19” ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว กับไวรัส “เมอร์ส” ที่อัตราผู้ติดเชื้อเสียชีวิตสูงถึง 40% ก่อเกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่อาจก่อให้เกิดหายนะตามมาได้
อย่างไรก็ตาม คอลบอร์นระบุว่า โอกาสเกิดขึ้นมีอยู่น้อยมาก
และการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ที่เกิดจาก “เชื้อไวรัสชนิดใหม่” ที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อนอาจเป็นสิ่งที่ “น่าสะพรึงกลัว” มากกว่านั่นเอง