ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 ธันวาคม 2564 - 6 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
ท่าอากาศยานต่างความคิด
อนุสรณ์ ติปยานนท์ / [email protected]
งานศพของชายไร้นาม
เสียงประกาศผ่านหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้านปลุกผมแต่รุ่งสาง
ในชนบทที่ความเงียบครอบครองตนอยู่แทบตลอดวัน เสียงประกาศเช่นนั้นมีนัยสองประการ
ประการแรกคือมีข่าวสารจำเป็นจากทางราชการ แม้ว่าโลกภายนอกจะมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ประสิทธิภาพสูง มีโลกของโซเชียลมีเดียอันทรงพลัง แต่วิถีชีวิตชนบทที่ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาตลอดวันในเรือกสวนไร่นาของพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ ข่าวสำคัญจะต้องถูกนำเสนอผ่านหอกระจายข่าวในตอนเช้าตรู่ หรือไม่ก็รุ่งสางเพื่อให้คนที่ก่อนออกไปไร่หรือกลับจากไร่ได้สดับฟังถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เสียงประกาศ (ที่มีผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ก็ช่วยผู้ใหญ่บ้านรับหน้าที่โฆษก) มักหนีไม่พ้นเรื่องของโรคภัยสำคัญอันได้แก่โรคโควิด-19 หรือที่ผู้คนละแวกนี้เรียกว่าโรคห่าตำปอด ประกาศเตือนให้ทุกคนอย่าละเลยการใส่หน้ากากอนามัย ประกาศเตือนวันที่ต้องไปรับวัคซีน ประกาศเรียกให้มาลงชื่อรับเงินชดเชยจากความป่วยไข้ และประกาศถึงการระมัดระวังสูงสุด ช่วงที่กรุงเทพมหานครระส่ำระสายหนัก ผู้คนจำนวนมากพากันอพยพออกจากเมืองหลวงและหลายคนกลับมาพร้อมกับโรคร้ายโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
สภาวะเช่นนั้นก่อให้เกิดคลัสเตอร์อันเกิดจากการรวมญาติเพื่อต้อนรับผู้กลับบ้าน ดื่มและกินในงานเช่นนี้เป็นสิ่งสามัญ การแพร่ระบาดของโรคจึงเร็วและรุนแรง เสียงประกาศจากหอกระจายข่าวจึงจำต้องทำงานหนักกว่าปกติ วันละสามถึงสี่รอบที่ประกาศเตือน ขยับขยายไปจนถึงขอแรงชายหนุ่มที่พอยังมีกำลังวังชาไปช่วยกันเร่งมือสร้างโรงพยาบาลสนามโดยด่วน ก่อนจะตามมาด้วยการจำกัดการเดินทางเข้าออกหมู่บ้านในที่สุด
สภาวะดังกล่าวบรรเทาและจบลงในที่สุด จำนวนผู้ติดเชื้อกลับสู่ภาวะปกติ
เสียงประกาศข่าวที่ผมเรียกเองส่วนตัวว่าเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับไกลปืนเที่ยงกลับไปสู่สองช่วงเวลาคือเช้ารุ่งสางและเย็นใกล้ค่ำ บทเพลงของมนต์แคน แก่นคุน หรือไมค์ ภิรมย์พร กลับคืนมาเป็นเพลงเปิดรายการพร้อมกับข่าวราชการแบบมโนสาเร่เช่นเคย
อย่างไรก็ตามเสียงประกาศเช้านี้เป็นเรื่องราวอีกแบบ มันไม่ใช่การประกาศข่าวสารจากทางราชการหากแต่เป็นข่าวเศร้าในอีกแง่มุมหนึ่ง
ประกาศพิเศษเช่นนี้มักมาพร้อมเรื่องราวที่ไม่เป็นปกติ เด็กพลัดหลงจากบ้าน น้ำป่าไหลท่วมบ้าน ไปจนถึงพายุฤดูร้อนเข้าถล่มแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ในครานี้นั้นเป็นประกาศถึงความตายของชายนิรนามผู้หนึ่ง
เรื่องราวความตายของเขาเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เขาเป็นชายวัยค่อนคนที่เดินทางมาทำงานรับจ้างในหมู่บ้าน งานก่อสร้างที่ขาดแคลนคนอยู่เสมอ การทำงานของเขาเป็นไปด้วยดีก่อนที่เมื่อวันก่อนเขาจะเข้านอนและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
สภาวะความตายแบบนี้จะเรียกว่าโรคลมปัจจุบันหรือโรคหลับไม่ตื่นก็ตามที พิธีการจะไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องสอบต้องสวนใดๆ เอกสารไม่กี่แผ่นและการเคลื่อนย้ายร่างของผู้ล่วงลับไปยังวัดภายในหมู่บ้านเป็นอันเสร็จขั้นตอนแรก
หลังจากนั้นญาติมิตรของผู้ตายจะรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ จะสวดกี่วัน จะจัดงานแบบไหน ใหญ่โตเพียงใด มีลูกหลานบวชหน้าไฟหรือไม่ มีงานทำครบรอบเจ็ดวันหรือสิบห้าวันหรือไม่ย่อมแล้วแต่กำลังทรัพย์และกำลังกายของผู้รับผิดชอบนั้นเอง
แต่ในกรณีของชายผู้นี้ เขามายังหมู่บ้านแห่งนี้โดยลำพัง เพื่อนที่ชวนเขามานั้นก็รู้จักเขาอย่างผิวเผินเต็มที ความตายของเขาจึงก่อให้เกิดความวุ่นวายในการจัดการไม่น้อยเลย
การแจ้งและรับเอกสารจากทางราชการนั้นเรื่องหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านเล่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านทางหอกระจายข่าว แต่การจัดงานพิธีกรรมนั้นซับซ้อนขึ้นกว่า เนื่องจากการติดตามหาญาติที่ใกล้ชิดนั้นใช้เวลาและร่างที่ไร้วิญญาณนั้นไม่อาจเก็บรักษาไว้ได้นาน ยิ่งในช่วงที่สถานการณ์ด้านโรคภัยมีความอ่อนไหว การจัดงานฌาปนกิจให้ลุล่วงโดยด่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
มติของกรรมการหมู่บ้านคือแม้ว่าผู้เสียชีวิตจะไร้ญาติ ชื่อเสียงเรียงนามไม่เป็นที่คุ้นเคยแต่ทุกคนในหมู่บ้านจะร่วมเป็นเจ้าภาพในงานพิธีกรรมของเขา
ทุกคนในหมู่บ้านจะทำหน้าที่เป็นญาติของเขาเอง
“ร่างของผู้เสียชีวิตถูกนำบรรจุลงโลง ถูกนำไปวัดแล้วในตอนนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับส่วนนี้แล้วแต่จะบริจาค แต่นั่นยังไม่จบ เนื่องจากว่าเราจะจัดพิธีสวดตามประเพณีให้เขาเป็นเวลาสามวันก่อนจะทำการฌาปนกิจ และเนื่องจากผู้เสียชีวิตไม่มีญาติที่นี่ ใครที่ว่างขอให้มาร่วมพิธีกรรม มาฟังพระเทศน์ มาช่วยกันทำอาหารเลี้ยงแขก ใครมีข้าว มีอาหารเอามาช่วยได้ ใครไม่มีอะไรมาช่วยนั่งพนมมือฟังพรก็ยังดี อย่าให้คนตายต้องเงียบเหงาเหมือนคนไร้ญาติ ตอนอยู่เขาอาจไม่มีญาติแต่ตอนนี้เขามาเสียชีวิตที่หมู่บ้านเราจะปล่อยให้เขาไร้ญาตินั้นไม่ควร” เสียงตามสายของผู้ใหญ่บ้านกล่าวปิดท้ายเช่นนั้น
บ่ายแก่ๆ ของวันนั้นผมจึงเดินออกทางด้านสวนหลังที่พักไปยังวัดประจำหมู่บ้าน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ในระยะหนึ่งกิโลเมตรเสียงเพลงบรรเลงที่แสดงความโศกเศร้าก็ลอยลมมาให้ได้ยิน
และเมื่อเข้าใกล้ขึ้นอีกเสียงผู้คนสนทนาก็ดังแทรกขึ้น หญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนในหมู่บ้านกำลังลงมือประกอบอาหารกันอย่างตั้งใจ
บทสนทนาในเวลาต่อมาของผมกับอาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวทำให้ได้รู้ว่าข้าวและวัตถุดิบในการปรุงอาหารได้รับการบริจาคมาจากชาวบ้านหลายคนโดยเฉพาะข้าวสารที่จำเป็นต้องถูกหุงขึ้นเพื่อใช้เลี้ยงพระในทุกวันทั้งภาคเช้าและเพล รวมถึงต้องใช้เลี้ยงคนที่มาร่วมฟังสวดในยามค่ำ
ข้าวเหล่านี้เป็นข้าวที่ชาวบ้านสำรองไว้กินกันในครัวเรือนหลังการเก็บเกี่ยว ปริมาณข้าวที่ได้รับบริจาคดูด้วยตาแล้วน่าจะพอเพียงสำหรับงานพิธีกรรมในสองสามวันนี้
ผมลงมือช่วยกลุ่มแม่บ้านเหล่านั้นประกอบอาหาร ส้มตำดูจะเป็นอาหารที่กินง่ายที่สุดและเหมาะสำหรับทุกคน มันจึงเป็นเมนูยืนพื้นของงานตามมาด้วยไก่ที่ถูกแปรไปเป็นอาหารทั้งแบบต้มและลาบ
นอกจากนี้ ผมยังทราบจากแม่บ้านกลุ่มนั้นว่าชาวบ้านหลายคนจะช่วยกันเอากับข้าวมาช่วย ดังนั้น เรื่องกินจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เรื่องสำคัญคือจะมีคนมาร่วมงานฟังสวดในคืนแรกนี้มากน้อยเพียงใดต่างหาก ถ้าว่าคนมาร่วมงานมีจำนวนน้อยหรือเหลือแต่เพียงคนที่อาสามาทำงานมันก็คงไม่ต่างจากงานศพไร้ญาติแทนที่จะเป็นงานที่ทุกคนปวารณาตนเป็นญาติของผู้เสียชีวิตตามที่ตั้งใจไว้
ข้อสงสัยของผมไม่ได้ใช้เวลาเคว้งคว้างอยู่ในอากาศนานเกินไป เมื่อตะวันตกดินและความมืดบอกว่าใกล้เวลาที่พระจะลงมาประกอบพิธีกรรม เสียงระฆังวัดและเสียงประกาศเสียงตามสายเชิญชวนผู้มาร่วมงานก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากในหมู่บ้านให้มารวมตัวกันที่วัด
แต่ละคนเตรียมตัวมาอย่างดีด้วยหน้ากากอนามัยที่ใช้ปิดปากและจมูก อาสาสมัครจัดวางแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือไว้แทบทุกจุด จนได้เวลาเริ่มพิธีกรรม พระภิกษุจำนวนสี่รูปก็ขึ้นสวดภายใต้หน้ากากอนามัยด้วยเช่นกัน
งานคืนแรกผ่านไปด้วยดี ผู้คนที่มาร่วมงานจับวงกันร่วมรับประทานอาหาร ภาพที่ถ่ายจากบัตรประชาชนของผู้เสียชีวิตถูกขยายขึ้นเป็นภาพประดับหน้าศพและกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่บ่งบอกว่าชายผู้นี้มาเสียชีวิตในต่างถิ่นต่างฐานของเขาอย่างแท้จริง
คำถามส่วนใหญ่ในวงสนทนาจึงยังวนเวียนอยู่กับคำว่าจะมีการตามหาญาติของผู้เสียชีวิตได้พบก่อนวันฌาปนกิจหรือไม่ เพราะถ้าไม่ ทางวัดก็จะรับผิดชอบเก็บกระดูกและเถ้าถ่านของเขาให้แทน
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงประกาศตามสายสร้างความหวังให้กับทุกคนที่ได้ยิน การตามหาญาติของผู้เสียชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งส่งการสื่อสารต่อๆ กันไปในที่สุดก็ได้พบกับภรรยาของผู้เสียชีวิต แม้จะยังอยู่ในความตระหนกตกใจ แต่ภรรยาของผู้เสียชีวิตก็เล่าว่าสามีของตนตระเวนทำงานเช่นนี้ไปตามที่ต่างๆ มีเงินก็ส่งข่าวส่งคราวพร้อมกับส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่มีเงินก็เงียบหายไป
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันก็แต่ในทางกฎหมายเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วทั้งคู่ไม่ได้อยู่ร่วมกันหลายปีแล้ว เงินที่ผู้เป็นภรรยาใช้เลี้ยงดูชีวิตก็มาจากลูกชายที่โตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วในตอนนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ที่เป็นวันสวดวันสุดท้ายและวันฌาปนกิจ เธอและลูกชายจะมาร่วมงานให้ทันเวลา
เย็นของงานสวดวันที่สอง ผู้คนหนาตาขึ้นทุกคนพูดแทรกกันในแทบทุกวงสนทนาว่าดีใจแทนผู้เสียชีวิตที่การตามหาญาตินั้นสัมฤทธิผล “การรู้สึกว่าต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยวนั้นเศร้าเสียยิ่งกว่าตัวความตายเองเสียอีก” ใครบางคนกล่าวเช่นนั้น
ช่วงสายของวันที่สาม รถกระบะคันหนึ่งพาคนนั่งหลังมาจนเต็มวิ่งผ่านเข้าในหมู่บ้านก่อนจะเลี้ยวเข้าไปที่วัด เสียงประกาศตามสายนอกเวลาปกติแจ้งข่าวว่าภรรยาของผู้เสียชีวิตได้มาถึงแล้ว ในพิธีสวดค่ำวันนั้นหลังพระสงฆ์กลับไปที่กุฏิ
ภรรยาของผู้ตายเดินขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน
ขอบคุณสำหรับข้าวปลาอาหารที่จัดเลี้ยงให้กับสามีผู้วายชนม์ของเธอ แทนการเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไปเธอได้ไปติดต่อร้านอาหารตามสั่งในบริเวณหมู่บ้านให้ทำข้าวกล่องมาเลี้ยงผู้มาร่วมงานในวันพรุ่งนี้รวมถึงอาหารที่ถวายพระด้วย
อีกทั้งยังเตรียมของชำร่วยมาแจกในงาน
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรงานพิธีกรรมของชายผู้นี้ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว