ผบ.ตร.แง้มกติกาใหม่ แต่งตั้ง ตร.ปี 2565 มุ่งสู่องค์กรบังคับใช้กฎหมายนำสมัย/โล่เงิน

โล่เงิน

 

ผบ.ตร.แง้มกติกาใหม่

แต่งตั้ง ตร.ปี 2565

มุ่งสู่องค์กรบังคับใช้กฎหมายนำสมัย

“อีก 5 ปีอยากให้ตำรวจเปลี่ยนอย่างไร” เป็นหัวข้อที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ระดมความเห็นจาก ผบช. รอง ผบช. และ ผบก. ในงานสัมมนาระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2563 หลังรับตำแหน่ง ผบ.ตร.หมาดๆ

มีใจความสำคัญมุ่งเน้นพัฒนาคนให้เหมาะงาน

ภาพรวมหลังขับเคลื่อนองค์กรสีกากีได้ 1 ปีเศษ พล.ต.อ.สุวัฒน์ได้ดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างองค์กรตำรวจให้เป็น “องค์กรบังคับใช้กฎหมายที่นำสมัย ในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา”

โดยจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อข้าราชการตำรวจ อาทิ การปรับปรุงเครื่องแบบเจ้าหน้าที่งานป้องกันปราบปรามผลการปฏิบัติ, โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนและป้องกันปราบปรามอาชญากรรม, การแก้ไขปัญหาหนี้สินตำรวจ

การพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบด้วย HRD BLUEPRINT รวม 53 หลักสูตร ผ่านการอบรมระดับชั้นประทวน 50,118 นาย ระดับชั้นสัญญาบัตร 16,610 นาย รวม 66,728 นาย เป็นต้น

 

ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นอย่างเด่นชัด “เรื่องการพัฒนาคนให้เหมาะกับงาน” ในวาระการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบก.-สว.ประจำปี 2564 ผบ.ตร.ได้ให้โอกาสตำรวจหญิงมาทำหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจำนวนหลายนาย ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่วงการตำรวจ

พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ (รอง ผบก.-สว.วาระ 64) เชื่อว่าได้คัดเลือกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติการดีเด่นในหลายๆ ด้าน ให้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งก็ยังน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ เพราะเรื่องโครงสร้างตำแหน่งที่จำกัด โดยเฉพาะรองสารวัตรนั้นมีมาก แต่ตำแหน่งสารวัตรมีน้อย ถ้าเทียบอัตราส่วนกัน คำสั่งที่ผ่านมานี้ ก็ประมาณเกือบ 7,000 ตำแหน่ง ตั้งแต่รองผู้กำกับลงไป สำหรับตำแหน่งรองสารวัตร มีจำนวนหลักหมื่น ที่พร้อมจะเป็นสารวัตร

“บิ๊กปั๊ด” ยังเดินหน้าพัฒนาองค์กร “วางแผนกำลังพล” โดยได้เตรียมอัตราสำหรับผู้ช่วยพนักงานสอบสวน 7,200 อัตรา เพื่อเป็นเครื่องไม้เครื่องมือและเป็นผู้ช่วยพนักงานสอบสวน

ซึ่ง ผบ.ตร.ระบุว่า จะทำให้งานสอบสวนมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานสอบสวนมีเวลาลงรายละเอียดให้กับสำนวนการสอบสวน

 

พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวอีกว่า วาระแต่งตั้งในปลายปี 2565 จะเริ่มนำกฎเรื่องของการดำรงตำแหน่งในสถานีตำรวจมาใช้ เช่น การจะเป็นสารวัตรในสถานีตำรวจ ทั้ง สารวัตรจราจร สารวัตรป้องกันและปราบปราม ฯลฯ ต้องผ่านงานสอบสวนตอนเป็นรองสารวัตร อย่างน้อย 3 ปี ถ้าไม่ผ่านก็เป็นไม่ได้ จะเป็นรองผู้กำกับสถานี ต้องเป็นสารวัตรโรงพักอย่างน้อย 2 ปี สารวัตรก็ต้องผ่านงานสอบสวนมา ซึ่งจะออกมาเป็นกฎ ก.ตร. บังคับใช้ปีหน้า

หากใครเตรียมตัวไม่ทัน เช่น อยู่โรงพักมา 9 ปี แต่อยู่งานป้องกันและปราบปราม มีบทเฉพาะกาลให้ ซึ่งคณะทำงานยกร่างไว้เรียบร้อยแล้ว มีการให้สอบด้านกฎหมาย ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็จะหนีงานสอบสวนกันไปหมด

ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า กำลังพิจารณาเรื่อง “สารวัตรบริการงานสอบสวน” หรือ “สารวัตรบริหารงานสอบสวน” เป็นสารวัตรที่ช่วยดูแลเรื่องธุรการงานสอบสวน แทนสารวัตรสอบสวน ช่วยลดภาระพนักงานสอบสวนในเรื่องงานธุรการ เพราะพนักงานสอบสวนควรทำเฉพาะเรื่องการสอบสวนจริงๆ ไม่ใช่ประสานหน่วยงานต่างๆ หรือลงหนังสือแจ้งนัดหมายส่วนราชการ ไปธนาคาร มันไม่จำเป็น และควรจะมีคนช่วยในเรื่องนี้ และเป็นการแก้ปัญหาการเติบโตด้วย แต่กลุ่มเหล่านี้ก็ต้องมีความรู้ด้านการสอบสวนด้วย และจะพยายามเน้นคุณภาพของพนักงานสอบสวนให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มผู้ช่วย การจัดสร้างระบบรับแจ้งความออนไลน์ รวมไปถึงเพิ่มเส้นทางการเติบโต

ทั้งนี้ ให้ทางฝ่ายกำลังพลจัดทำการวางแผนกำลังพล ว่าภายใน 3 ปี หรือ 5 ปี ตำรวจจะมีจำนวนเท่าไหร่ เป็นสายไหน อย่างไรบ้าง

 

สิ่งที่เพิ่มไป คือเรื่อง “สายเทคนิค” โดยนำตำรวจที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมารวมกลุ่มเพื่อทำงานให้ตรงกับสิ่งที่ถนัด และแก้กฎกติกาต่างๆ ให้ตำรวจเหล่านี้สามารถเติบโตได้

ยกตัวอย่าง ตำรวจที่เก่งคอมพิวเตอร์ แต่ไปเป็นพนักงานสอบสวนที่แม่สะเรียง ซึ่งไม่ตรงกับสายงานและความถนัด แต่ถ้าไม่เป็นพนักงานสอบสวน กลายเป็นว่าเขาไม่สามารถจริญเติบโตเป็นสารวัตรในสายงานนี้ได้ ซึ่งเมื่อเขามีความรู้ทางเทคโนโลยีหรือคอมพิวเตอร์ ต้องออกแบบเส้นทางการเจริญเติบโตให้ใหม่ นำเขาออกจากพนักงานสอบสวนแม่สะเรียง มาทำงานที่ตรงกับความรู้ความสามารถ

“คดีทุกวันนี้ตำรวจต้องใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสูงมาก และเราก็ภูมิใจว่าสํานักงานตํารวจแห่งชาติไม่เคยน้อยหน้าใครในเรื่องการสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี นักเรียนนายร้อยตำรวจไปแข่งขันชนะเลิศในเรื่องศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์ติดต่อกัน 2 ปี เราก็พยายามจะพัฒนาบุคคลเหล่านี้ให้มีโอกาสไปศึกษาต่อในบริษัทด้านเทคโนโลยี ไปแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้มีโครงการ Digital Forensics Lab ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเป็นแล็บคู่แฝดกับต่างประเทศ โดยกำลังติดต่อทางเอฟบีไอ ก็ได้พูดคุยกันในชั้นต้น อยู่ระหว่างการทำรายละเอียดเพื่อทำ MOU เพราะต่อไปนี้เรื่องเทคโนโลยีจะมาเป็นเรื่องหลัก อีก 3-5 ปีก็จะมีเทคโนโลยีออกมาอีกมากมาย ถ้าเราไม่ปรับตัวก็จะตามไม่ทัน อย่างเงินดิจิตอลคริปโตเคอร์เรนซี ก็ต้องเรียนรู้วิธีการติดตามเส้นทางการเงินที่โอนผ่านคริปโตเคอร์เรนซี ทีมงานก็ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ระบบเครือข่าย เพราะเรื่องพวกนี้ไม่มีใครทำนอกจากตำรวจ” ผบ.ตร.กล่าว

อีกไม่กี่เดือนผลงานผู้นำสีกากีจะออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม