ปี 2565 และชะตา 3 ป. ในทัศนะนิธิ เอียวศรีวงศ์ ‘คนเหล่านี้ไม่มีวันที่จะปลอดภัยอีกต่อไป’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

ปี 2565 และชะตา 3 ป.

ในทัศนะนิธิ เอียวศรีวงศ์

‘คนเหล่านี้ไม่มีวันที่จะปลอดภัยอีกต่อไป’

 

ปี 2565 อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ มองว่า สิ่งที่ต้องจับตาคือ ยังไงก็หนีไม่พ้น “การเมือง”

ยังไงก็ต้องจับจ้อง เพราะว่าโอกาสที่จะเกิดความราบรื่นเป็นไปได้ยากมากๆ

ประการต่อมา ถ้าการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หากมันไม่มีผลรุนแรงจนเกินไป ก็ต้องแปลว่าโลกทั้งโลกกำลังค่อยฟื้นกลับมาอย่างเก่า เพราะฉะนั้น จะต้องกลับมาดูว่าเศรษฐกิจไทยตามเขาไปได้แค่ไหน ทันท่วงทีคงไม่ใช่ แต่ก็ต้องไม่ถูกทิ้งห่างจนเกินไป

คิดว่า 2 ประเด็นนี้จะเป็นเรื่องใหญ่

ในเรื่องของการเมืองอย่างที่บอกว่ายากจะราบรื่น แต่จะเป็นคนหน้าเดิมกลับมาทั้งหมดอีกหรือเปล่า ในทัศนะของผม เกิน 50% ไม่น่าจะเป็นหน้าเดิมแล้ว แต่กลุ่มอำนาจยังเป็นไปได้ว่าเป็นกลุ่มเดิม ในที่สุดแล้วผมคิดว่ากลุ่มคนที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร หรือใครก็แล้วแต่ คงเห็นแล้วว่า จะเอาประยุทธ์ไว้ล่อเป้าทำไม (วะ)? ก็ถ้าคุณเปลี่ยนได้ คุณหาบุคคลอื่นที่พอรับได้มากกว่านี้ จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบ ไม่ดีกว่าหรือ?

คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา มีราคาแพงมาก คุณลองคิดถึงว่า ศาลที่ไม่ใช่เพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลทุกชนิด กลับกลายเป็นว่าขาดความน่าเชื่อถือของประชาชนไปหมดเลย เพื่อจะเซฟคุณประยุทธ์เอาไว้ แทบจะไม่มีองค์กรไหน ไม่มีสถาบันใดในประเทศไทยที่ไม่สูญเสีย

การที่รักษาคุณประยุทธ์ไว้ คนเหล่านี้ไม่คิดหรือว่าเปลี่ยนเถอะมันแพงเกินไปเปล่าโดยไม่จำเป็น

 

อาจารย์นิธิบอกอีกว่า ถ้าคุณประยุทธ์ยึดอำนาจเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว มันอาจจะไม่เลวร้ายเท่านี้ แต่ว่าในห้วงที่ผ่านมา เราได้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต่อกัน 3-4 สมัย และอยู่ๆ วันหนึ่งคุณก็มายึดอำนาจ ผมว่ามันผิดสมัย ผิดยุคผิดช่วงเวลาไปหมดแล้ว

อีกอย่างคนไทยปัจจุบันไม่เหมือนคนไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คุณจะทำแบบเดิมไม่ได้ จริงๆ ผมว่ามันอาจจะเปลี่ยนไปก่อนหน้า 30 ปีด้วยซ้ำ

คงจำเรื่องคุณสุจินดา คราประยูร ได้ คุณสุจินดายึดอำนาจ และมีอำนาจอยู่หลังฉากเพียงปีเดียว พอคุณสุจินดาขึ้นมาหน้าฉากกลายเป็นเรื่องที่คนรับไม่ได้

ดังนั้น รัฐบาลที่ยึดอำนาจมา โอกาสที่จะสร้างความเข้มแข็งมันยากมากๆ และคุณประยุทธ์ก็ใช้วิธีที่ผมคิดว่ามันแพงมากๆ เช่น การจับคนไปปรับทัศนคติตามค่ายทหาร มันกลายเป็นเครื่องหมายของความเสื่อมโทรมของตัวระบบเผด็จการที่เราเองเคยชินนั่นแหละ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชต์ ยังไม่ทำขนาดนั้นเลย

แต่คำถามสำคัญก็คือ ถ้าคุณประยุทธ์ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ การชุมนุมหลังรัฐประหารในช่วงวันที่ 22-23 พฤษภาคม ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะมีเพียงแค่นั้นหรือมากกว่านั้น ผมเองเชื่อว่ามากกว่านั้น แล้วคุณประยุทธ์เองก็จะอยู่ไม่ได้ ดังนั้น ทางเดียวที่ทำ ก็คือวิธีการทำมาแล้ว ซึ่งมันมีราคาแพงมาก

ผมคิดว่าหลังจากที่มีรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย คุณทักษิณ ชินวัตร ก็แล้วแต่ การที่ฝ่ายอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงการเมือง มันจะต้องละเมียดละไมมากขึ้น มันจะต้องใช้วิธีอื่นที่แนบเนียนมากกว่านี้ แต่กลับปรากฏว่ามีการใช้วิธีแบบเก่าๆ มันไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ จนกระทั่งหนีไม่พ้นต้องหันมาใช้วิธีที่มันเปิดเผย

ยกตัวอย่างเช่น ในปลายสมัยของคุณทักษิณ หลายคนก็พูดกันเยอะมากว่าคุณทักษิณไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน คุณทักษิณพยายามทาบบารมีกับสถาบันหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คุณทักษิณตกจากอำนาจ สุดท้ายในที่สุด คุณไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องทำรัฐประหารในปี 2549

แต่พอคุณทำรัฐประหารครั้งนั้น มันกลายเป็นว่าแฉตัวพวกคุณเองหมดเลยชัดเจน ว่าใครอยู่เบื้องหลังบ้าง ว่าตัวอำนาจในระบบ มันคอยขัดขวางประชาธิปไตยอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่สุด กรณีของคุณทักษิณ ขนาดชุมนุมกันกลางเมืองของพวกเสื้อเหลือง แทนที่คุณทักษิณจะล้ม ก็ไม่ล้ม คือพอยุคสมัยมันเปลี่ยนไป วิธีการที่แทรกทางการเมือง อย่างแนบเนียนมันไม่ได้ผลอย่างเก่าอีกแล้ว ถ้าคุณจะแนบเนียนไปกว่านี้ก็เท่ากับว่าคุณแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย

ถามว่าสิ่งที่ทำไปมันคุ้มหรือไม่?

 

อาจารย์นิธิกล่าวถึงการเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ก่อนหน้ายุครัชกาลนี้แม้ไม่ได้มีการพูดออกมาชัด แต่ถ้าจะนับหลังปี 2549 เป็นต้นมาผมก็ได้ยิน มีการพูดถึงกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็นอย่างไร บางเรื่องอาจจะขัดแย้งกันกับพระราชกรณียกิจด้วยซ้ำ

กระแสการปฏิรูปสถาบัน คนที่เปล่งวาจาออกมาให้ชัดเจนแน่นอนเป็นที่เข้าใจคือคุณอานนท์กับคุณรุ้ง แต่ถามว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเลยหรือมันไม่ใช่ มันก็มีมาตั้งนานแล้ว

ดังนั้น เมื่อมองไปที่ศาลรัฐธรรมนูญพบว่า เป็นราคาที่คุณต้องจ่าย ถ้าศาลคิดว่า การเสนอข้อปฏิรูปสถาบันเป็นเรื่องของการล้มล้าง มันก็จะกลายเป็นอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญว่านั่นแหละ

เทียบในยุคของคุณทักษิณผมเองคิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีพลังในการที่จะเข้าไปแทรกแซงทางการเมือง อย่างที่เป็นที่พอใจของประชาชนอยู่เยอะมาก

พูดง่ายๆ คือ บารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี 2548-2549 ยังมากในสังคมไทย ถ้าในช่วงนั้นสถาบันถอยออกมาเป็นเหมือนสถาบันอังกฤษ (อย่านึกว่าไม่มีอำนาจแทรกแซงทางการเมือง เขาแทรกเยอะมาก) แต่แทรกอย่างไรให้คนรู้สึกว่าไม่เป็นไร ดีแล้วมีอำนาจอีกอันหนึ่งที่คอยถ่วงดุลอำนาจ ที่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่มีใครว่าอะไร

แต่ตอนนั้นมันไม่ได้เกิด ดันเกิดการรัฐประหารแทน

แถมในที่สุดคนที่เป็นถึงองคมนตรีก็กลับมาเป็นนายกฯ เอง

 

ส่วน “รัฐประหาร” กับสังคมไทยในทัศนะอาจารย์นิธิคิดว่า การที่ฝ่ายขวาจัดจะปรับตัวเองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้ยากมากๆ และด้วยเหตุดังนั้น จึงเกรงว่าเขาจะเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือการรัฐประหาร ยึดอำนาจใหม่และก็ใช้วิธีเด็ดขาดรุนแรง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ในหลายประเทศก็ใช้ความเหี้ยมโหดในการยึดอำนาจมาแล้ว แต่เท่ากับว่าจบทุกอย่างเลย

ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่า กลุ่มที่คนฝ่ายอำนาจในเวลานี้ยังจะเหลือคนที่มีสติปัญญา มีความจงรักภักดีด้วยความจริงใจจริงๆ หรือมีความเชื่ออย่างจริงใจในคุณค่าแบบเดิม ของวัฒนธรรมไทย อยู่แค่ไหน

มันแทบไม่มีคนประเภทนี้เหลืออยู่แล้ว มีแต่คนที่พยายามที่จะหาวิธี หาหนทางในการเกาะกินระบบนี้ พร้อมที่จะเอาชีวิตของคนอื่นมาเสี่ยงเพื่อให้มันได้เกาะกินต่อไป

ผมรู้สึกเวทนาคือที่เวลานี้พวกคุณไม่เหลืออะไรเลย แล้วคุณจะต้องคิดสั้น เพราะไม่เหลือทางเลือก

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อยากจะเห็นภาพเหล่านี้เกิดขึ้นอีกในเมืองไทยในการที่คุณจะยึดอำนาจขึ้นมาใหม่และใช้ความรุนแรง และคิดว่าทุกอย่างมันจะสงบได้ พม่าก็เป็นตัวอย่างเห็นได้ชัด และกว่าที่มันจะสงบได้ก็ไม่ง่ายเลย กองทัพไทยไม่ได้มีสมรรถภาพเหมือนกับจีน และด้วยเหตุดังนั้นฝ่ายที่ต่อต้านก็จะสูญเสียหนัก ฝ่ายที่มีอำนาจก็จะสูญเสียหนัก

สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าเวลานี้ ไม่มีใครกล้าไปลงทุน เพราะว่าระเบิดกันง่ายๆ คุณจะไปหากองทัพที่สามารถรักษาทั้งประเทศไหวหรือ?

 

ส่วนอนาคตม็อบ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวบนท้องถนนนั้น อาจารย์นิธิคิดว่า การเคลื่อนไหวบนถนนเป็นผลผลิตของการเคลื่อนไหวในสื่อ Social Media และการเคลื่อนไหวที่เรามองไม่เห็นอีกไม่รู้เท่าไหร่ เป็นต้นว่า เด็กรุ่นนี้พูดคุยกันอยู่ในหอคุยกัน คุยเรื่องการเมืองมาตั้งนานแล้ว คุณห้ามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เวลานี้ลองไปอ่านดูเถอะมันแรงมากๆ ไม่มีเบรกแล้ว

ผมกลับคิดว่าสิ่งที่ปรากฏใน Social มันคือที่มาของการเคลื่อนไหวในท้องถนน

ผมคิดว่าปีหน้าจะแรงและจะกลับมาแรงอย่างเก่า แต่ก็เดาไม่ถูกว่าอะไรจะเป็นปัจจัยหลัก เพียงแต่คิดว่า การที่สังคมจะนิ่งอยู่อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ และฝ่ายที่เป็นฝ่ายขวาจัด เขาไปเข้าใจผิดว่าการเคลื่อนไหวเกิดจากการมีผู้นำ ไม่ได้เข้าใจว่า มันมากกว่านั้น นี่มันเป็นกรอบความคิดแบบเดียวกับ 6 ตุลาคม 2519 ก็ยังคิดอยู่ จะคิดว่าฆ่านักศึกษาแล้วเรื่องจะเงียบ ซึ่งไม่ได้เข้าใจว่าความเคลื่อนไหวของเยาวชนเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ของสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ข้างล่าง ขังอานนท์ จับใครต่อใครไปขังลืม แล้วหวังว่าทุกอย่างจะเงียบ กลายเป็นว่าคุณคิดแบบเดียวกับอดีตเลย

และสิ่งที่ผมกังวลก็คือว่ากลุ่มขวาจัดไม่มีทางเลือกอื่น ถามว่าเวลานี้มีใครบ้างที่จะให้ทางออกที่ฉลาด ที่ทำให้ไม่ต้องนองเลือด ยังมองไม่เห็นเลย

 

สําหรับความหวัง ในสายตาอาจารย์นิธินั้น

อาจารย์นิธิบอกว่า ที่ผมยังหวังอยู่ว่ามันมีทางเป็นไปได้ในสังคมไทย คือการลุกฮือขึ้นใหญ่ของประชาชน

ลุกฮือแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จผมเองก็ไม่รู้

แต่ผมว่าจะลุก คือแม้จะแพ้ แต่ต้องลุก ทำให้การครองอำนาจของพวกนี้ แพงที่สุดเท่าที่จะแพงได้

ถ้าผมเป็น 3 ป.ในเวลานี้ สิ่งที่ผมตอบตัวเองไม่ได้ก็คือ ถ้ากูลงจากอำนาจแล้วจะปลอดภัยได้อย่างไร? โดยไม่ต้องพูดถึงว่าจะลุกฮือแล้วมาล้มผม เอาแค่ว่าลาออกจากนายกฯ 250 ส.ว.ไม่มีแล้ว วันดีคืนดีเมื่อมีเสียงมากขึ้น และมีกระบวนการให้ถือว่าการยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ไม่ได้เกิดขึ้น เป็นโมฆะตั้งแต่แรก วินาทีที่คุณประกาศแปลว่าเราจะหันกลับไปอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2550 เพราะฉะนั้น คนที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ติดคุกหมด ไม่ใช่เฉพาะแค่ผู้มีอำนาจ ผู้ให้การร่วมมือ คนที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ทั้งหมด คนที่ร่างรัฐธรรมนูญด้วย

ผมคิดว่า จริงๆ แล้ว 3 ป.ควรจะคิดให้หนักๆ ถึงความปลอดภัยของตัวเองในอนาคต ถ้าคิดให้ดีๆ คนเหล่านี้ไม่มีวันที่จะปลอดภัยอีกต่อไป มันไม่เหมือนกับสฤษดิ์ถนอมประภาส อย่างมากก็ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ อยู่ไต้หวัน เงินทองที่ได้มาก็ขนเอาไปให้หมด

นี่กลายเป็นว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่การรัฐประหาร ที่จะทำให้ผู้ก่อการรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจอยู่เต็มที่ แต่จะลงจากอำนาจได้ยังไง ที่มีคนชอบบอกว่าให้กลับไปเลี้ยงหลาน อย่างน้อยตัวผมเองคนหนึ่งที่ไม่อยากให้ไปเลี้ยงหลานในทัศนะของผมคนเดียว ให้อยู่ไปเลยแบบนี้ สักวันถ้าเขาล้มได้ พวกคุณต้องติดคุก! ติดคุกเท่านั้น

แต่ถ้าให้หวัง สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดในปีหน้าก็คือการ “ลุกฮือใหญ่” ลุกแล้วแพ้หรือชนะผมไม่รับรอง ชนะแล้วผลจะยังไงผมก็ไม่รับรอง แต่ต้องลุก!

ชมคลิป