ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | เมียนมา บนเส้นทางสู่การฆ่าหมู่ประชาชนไม่รู้จบ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เกือบหนึ่งปีที่แล้วที่มิน อ่อง ลาย รัฐประหาร, ยุบสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วแต่งตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งที่ประชาชนไม่ได้เลือกเลย

และเป็นเวลาเกือบปีแล้วเช่นกันที่ประชาชนพม่าต่อต้านมิน อ่อง ลาย อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีต่างๆ ตั้งแต่การอารยะขัดขืนและการใช้กำลัง

แน่นอนว่าการต่อสู้ของประชาชนพม่ามีเป้าหมายที่อวสานของระบอบเผด็จการ และถึงแม้มิน อ่อง ลาย ตอนนี้จะคุมทหารพม่าได้มากจนแผนโค่นล้มเผด็จการยังไม่สำเร็จ แต่ประชาชนพม่าก็ทำให้มิน อ่อง ลาย เป็นคณะรัฐประหารที่ไม่มีประเทศหรือองค์กรไหนยอมรับเลย ยกเว้นไทยและฮุน เซน

เมื่อเทียบกับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โลกรังเกียจหลังรัฐประหาร 2557 ไม่แพ้กัน ระดับความรังเกียจที่โลกมีต่อคุณประยุทธ์ก็ยังน้อยกว่ามิน อ่อง ลาย มาก

คุณประยุทธ์ในฐานะบุคคลไม่มีใครเชิญประชุมทวิภาคีหรือเจรจาเรื่องระดับโลก แต่ไทยในฐานะประเทศยังมีตัวแทนในเวทีโลกระดับต่างๆ ตลอดเวลา

ในกรณีมิน อ่อง ลาย การแสดงออกว่าไม่ยอมรับมีตั้งแต่ต่อตัวมิน อ่อง ลาย เอง รวมทั้งต่อประเทศพม่าภายใต้การรัฐประหารของมิน อ่อง ลาย และถึงแม้มิน อ่อง ลาย จะตั้งตัวเองเป็นนายกฯ แต่ก็ไม่มีประเทศไหนยอมรับ

จนน่าสงสัยว่าอาจเป็น “รัฐบาล” ที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายในแง่ระหว่างประเทศเลย

มิน อ่อง ลาย ไม่มีที่ยืนในโลกทั้งที่รัฐประหารมาแล้วเกือบปี ในอาเซียนมีเพียงไทยกับกัมพูชาที่ไม่รังเกียจ แต่การผลักดันให้มิน อ่อง ลาย เข้าประชุมอาเซียนก็ล้มเหลวเหมือนที่ประชุมระดับโลกอื่นๆ และกระทั่งสหประชาชาติกับหลายประเทศยังถือว่าทูตก่อนรัฐประหารคือตัวแทนเมียนมาที่แท้จริง

มิน อ่อง ลาย พยายามใช้อาเซียนเป็นเครื่องมือยกสถานะตัวเอง แต่ทันทีที่มิน อ่อง ลาย ไม่ปฏิบัติตามข้อเสนออาเซียนเรื่องให้เจรจาและรับฟังทุกฝ่าย มิน อ่อง ลาย ก็ผลักตัวไปสู่จุดที่ไม่มีประเทศไหนอยากเกี่ยวข้องด้วย

ยิ่งกว่านั้นก็คือ ยิ่งนาน มิน อ่อง ลาย ยิ่งทำให้โลกหรือภูมิภาคไม่อยากแปดเปื้อนไปด้วยเลย

ล่าสุด การฆ่าแล้วเผาประชาชนทิ้งคารถ 38 ศพ ที่รัฐคะยาเป็นเหตุการณ์ที่ผลักให้มิน อ่อง ลาย ไปไกลจนไม่น่าจะมีใครหรือองค์กรไหนยอมรับได้อีก

เพราะการฆ่าหมู่แล้วเผาเป็นพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ ไม่ต้องพูดถึงกรณีนี้ที่ศพทั้งหมดถูกมัดมือไพล่หลัง และหลายรายถูกจ่อยิงหัวก่อนตาย

ขณะที่มิน อ่อง ลาย อ้างว่าทั้ง 38 ศพคือกลุ่มติดอาวุธที่ถูกยิงเพราะไม่หยุดรถตามที่ทหารต้องการ

กลุ่มกะเหรี่ยงและเอ็นจีโอสิทธิยืนยันว่าคนกลุ่มนี้คือชาวบ้านที่หนีการไล่ล่าของทหารพม่า ผู้เสียชีวิตในรถอย่างน้อย 3 รายเป็นเด็ก และอย่างน้อย 2 รายอาจเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน

ไม่มีใครตอบได้ว่าทหารพม่าฆ่าคนด้วยวิธีอำมหิตแบบนี้เพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ผู้เสียชีวิตที่มีทั้งเด็กและเอ็นจีโอคือหลักฐานว่าคนตายไม่ใช่กลุ่มติดอาวุธอย่างที่ฝ่ายมิน อ่อง ลาย อ้าง ไม่ต้องพูดว่าการสังหารหมู่ที่รัฐคะยาเกิดไล่เลี่ยกับกรณีอื่นๆ จนสะท้อนว่าทหารพม่ามีแผนทำอะไรแบบนี้เอง

สําหรับคนที่ติดตามสถานการณ์พม่ามาบ้าง ทหารพม่าไม่ได้ก่อเหตุฆ่าประชาชนอย่างอำมหิตแบบนี้ครั้งแรก เอ็นจีโอด้านสิทธิมนุษยชนอย่าง Myanmar Witness ระบุว่าทหารพม่าฆ่าหมู่คนมือเปล่าไปแล้วอย่างน้อย 40 รายในกรณีต่างๆ ในรอบสี่เดือนหลังจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะนิยาม “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” อย่างไร การกระทำของทหารพม่าก็เข้าข่ายเป็น “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” แน่ๆ และที่จริงฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมาก็ชี้มานานแล้วว่ามิน อ่อง ลาย มีพฤติกรรมนี้ตั้งแต่ในยุคที่การต่อสู้กับมิน อ่อง ลาย มีศูนย์กลางในเขตเมือง

ไม่เคยมีวันไหนที่มิน อ่อง ลาย อยู่ในอำนาจโดยไม่มีคนต่อต้าน แต่การต่อต้านช่วงแรกอยู่ในรูปขบวนการ CDM ซึ่งเน้นชุมนุม, เดินขบวน และแสดงออกทางสัญลักษณ์ในเมืองต่างๆ ตามหลัก “อารยะขัดขืน” (Civil Disobedience Movement) ซึ่งจบด้วยตำรวจทหารปราบปรามอย่างรุนแรง

การกระทำของมิน อ่อง ลาย ที่เข้าข่าย “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” เริ่มต้นครั้งแรกๆ ในช่วงนี้ จำนวนนักกิจกรรม, นักการเมือง รวมทั้งผู้นำประท้วงต่างๆ ที่ถูกจับและถูกซ้อมโดยไม่ขึ้นศาลมีนับไม่ถ้วน การตายหลังถูกจับเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการทำลายศพขั้นควักอวัยวะภายในทิ้งเพื่อขู่ให้กลัว

เมื่อ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ละทิ้งแนวทางนี้ไปจัดตั้ง “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” (PDF – Public Defense Forces) ความรุนแรงทิ่มิน อ่อง ลาย ทำต่อประชาชนก็ย้ายจากเมืองไปชนบทด้วย เพราะชนบทหลายพื้นที่คือที่มั่นของกองทัพชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งทหารพม่าต้องการทำลายอยู่แล้วด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าทัพชาติพันธุ์มีที่มั่นตามแนวชายแดน แต่ไม่ใช่ทหารพม่าจะฆ่าหมู่แล้วเผาทุกพื้นที่ จุดก่อเหตุทำนองนี้รวมศูนย์ที่พื้นที่ซึ่งต่อต้านทหารพม่ายาวนาน มีกองกำลังโจมตีสัญลักษณ์เผด็จการอย่างป้อมตำรวจ, ฐานทหาร และสำนักงานต่างๆ รวมทั้งถูกสงสัยว่าเป็นแหล่งฝึกคนไปสู้เผด็จการ

พูดแบบสั้นที่สุด ทหารพม่าจงใจฆ่าแล้วเผา และต้นเหตุของการกระทำแบบนี้ ได้แก่ การมียุทธศาสตร์ใหญ่ที่ต้องการกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดสิ้นโดยสิ้นเชิง พื้นที่ซึ่งมีทัพชาติพันธุ์ติดอาวุธบางกลุ่มจึงไม่ถูกทหารพม่าทำอย่างอำมหิตเท่าพื้นที่ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยหนีไปรวมตัวกัน

ยกตัวอย่างง่ายๆ คะฉิ่นและโกก้างมีกองกำลังสู้รบกับทหารพม่ามานาน ซ้ำยังมีพื้นที่ซึ่งมีทรัพยากรมีค่าอย่างหยก แต่กองทัพพม่ายังไม่เคยก่อเหตุอำมหิตในเขตคะฉิ่นและโกก้างขั้นฆ่าพลเรือนแล้วเผา อย่างมากที่สุดคือปะทะระหว่างทหารกับทหารด้วยกัน ไม่ต้องพูดถึงว้าแดงที่พม่าไม่แตะต้องเลย

สำหรับทหารพม่า การกำจัดฝ่ายประชาธิปไตยคือเหตุผลหลักในการโจมตีพื้นที่ต่างๆ เพราะมิน อ่อง ลาย ถือว่าพลเรือนเหล่านี้เป็นศัตรูยิ่งกว่าขบวนการค้ายาเสพติด หรือแม้กระทั่งทัพชาติพันธุ์ที่มีกองกำลังสู้รบกับทหารพม่าได้จริงๆ

ในรัฐทหารแบบมิน อ่อง ลาย การใช้กำลังทหารปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าการใช้กำลังทหารปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเพราะการได้ส่วนแบ่งจากเรื่องดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม

เหตุการณ์ฆ่าหมู่แล้วเผา 38 ศพซึ่งอาจมีบางส่วนถูกเผาทั้งเป็นนั้นเกิดที่รัฐคะยา แต่ก่อนจะเกิดเหตุแบบนี้ พื้นที่ใกล้เคียงอย่างรัฐชิน, เขตซะไกง์ และรัฐกะเหรี่ยงล้วนถูกทหารโจมตีอย่างโหดเหี้ยมมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโดยเผาหมู่บ้าน, ยิงปืนใหญ่ถล่มหมู่บ้าน หรือการจับมัดแล้วเผาทั้งเป็น

มองในแง่ประวัติศาสตร์ ทั้งรัฐชิน, รัฐคะยา, รัฐกะเหรี่ยง และเขตซะไกง์คือพื้นที่ซึ่งประชาชนต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างสันติตั้งแต่รัฐประหาร บางพื้นที่ประชาชนสู้ตำรวจทั้งที่มีเพียงโล่ทำเองเพื่อป้องกันตัวเอง

การโจมตีของมิน อ่อง ลาย จึงเป็นการโจมตีเพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน

 

เฉพาะในสัปดาห์เดียวกับการฆ่าแล้วเผา 38 ศพที่รัฐคะยา ทหารพม่ายิงปืนใหญ่ถล่มหรือส่งทหารบุกเผา 4 หมู่บ้านพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเยอู่, นัดจวง, กอกะเร็ก หรือเลอเกก่อ จนมีคนตายนับไม่ถ้วน โดยทุกพื้นที่คล้ายคลึงกันในแง่ถูกมิน อ่อง ลาย สงสัยว่าเป็นที่รวมตัวของฝ่ายประชาธิปไตย

ในกรณีหมู่บ้านนัดจวง จำนวนคนที่ทหารพม่าฆ่าขณะโจมตีหมู่บ้านมีถึง 20 ราย เพียงแต่ยังไม่ได้ถึงขั้นฆ่าหมู่แล้วเอาศพมาเผารวมกันอย่างที่รัฐคะยาเท่านั้นเอง

เลอเกก่ออยู่ใกล้ไทยจนคนหนีเข้าไทยทุกครั้งที่ทหารพม่าส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่ม แต่โดยพื้นฐานแล้วเลอเกก่อคือหมู่บ้านใหม่ซึ่งองค์กรการกุศลไปช่วยกันสร้างจนเป็นเขตหยุดยิง การโจมตีเลอเกก่อจึงเป็นหลักฐานว่าเผด็จการทหารพม่าพร้อมใช้อาวุธสงครามเพื่อกวาดล้างพลเรือนทุกกรณี

เมียนมาทั้งประเทศกำลังเข้าสู่สงคราม เพียงแต่สงครามกรณีนี้คือ “สงครามภายใน” ที่เผด็จการ ทหารปราบปรามคนในประเทศราวกับเป็นกบฏ การฆ่าแล้วเผาจนถึงการเผาทั้งเป็นจะเกิดขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” รูปแบบอื่นๆ ตราบใดที่มิน อ่อง ลาย ยังมีอำนาจ

พม่ายุคมิน อ่อง ลาย เป็นปัญหาของโลก และในที่สุดความอำมหิตของมิน อ่อง ลาย จะทำให้โลกหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีมาตรการเพื่อยุติเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา