2565 ยังไงก็ไม่ฟื้น? จับเข่าคุยคนรุ่นใหม่เพื่อไทย มองปัจจัย-วิกฤต-ทางรอด เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทย

“ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เรามีตัวชี้วัด คือตัวเลขทางเศรษฐกิจตกต่ำแบบมากที่สุดที่เคยมีในประวัติศาสตร์ แถมหนี้สาธารณะที่สูงขยายเพดานการกู้ยืมวินัยทางการคลังของเราพังไปหมดแล้ว” จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคนรุ่นใหม่ และคีย์แมนทีมนโยบายเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว มองสถานการณ์ท่องเที่ยว-เศรษฐกิจที่ลุ่มๆ ดอนๆ น่าเป็นห่วงอย่างมาก

จักรพลมองว่า สิ่งที่จะตามต่อมาในอนาคตจากนี้ คือหนี้สินของลูกหลานมีมากขึ้น หนุ่มสาวคบกันยังไม่ทันแต่งงาน ก็คิดได้เลยว่ามีหนี้ประมาณคู่ละแสนเจ็ด

สิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกคืออัตราตกงานของเด็กจบใหม่ จะมีผู้ตกงานมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราความยากจนความสุขมวลรวมที่ไม่เกิด สิ่งเหล่านี้มันประเมินค่าไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลมันสัมพันธ์กันหมด นำมาสู่ข้อสรุปที่ว่าความสุขของประชาชนไม่มี รอยยิ้มที่หายไป เงินในกระเป๋าที่แบนแล้วแบนอีก สิ่งเหล่านี้เป็นความน่าเห็นใจมากเวลาลงพื้นที่เราพูดคุยกับเขา รัฐก็ต้องเร่งหาทางออกให้เขา

เวลาลงพื้นที่ มีชาวบ้านมาร้องไห้บอกไม่มีข้าวจะกิน ราคาข้าวก็ทำเอาร้องไห้กันทั้งชุมชน ราคาต่ำกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาก็ทรมานรอวันขาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นหนี้ นอกจากไม่ได้รายได้ตามที่คาดหวัง หนี้สินก็เกิดขึ้น ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง ค่าน้ำมันที่แพงขึ้น เขาทรมานมาก

โดยที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปัญหาหนี้เดิมที่เขามีอยู่ เช่น หนี้ทางการศึกษาของลูกหลานพวกเขาที่ต้องถูกยึดที่

สิ่งที่สะท้อนใจเหลือเกินคือตอนนี้เป็นช่วงเวลาช้อปปิ้งของปลาตัวใหญ่ ในขณะที่เกิดวิกฤตสถานประกอบการ ทุกคนก็ขายทิ้งหลังชนฝาหมดแล้ว

แต่สุดท้ายคนตัวใหญ่กลายเป็นว่ามาเลือกช้อปปิ้งกดราคาได้ นี่คือความชอกช้ำผลข้างเคียงจากการขายกิจการ

พอยิ่งขายเยอะยิ่งวิกฤติหนักคนยิ่งตกงานมาก หนี้สินมาก ปัญหาชีวิตหนัก คนฆ่าตัวตายสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผมมองว่ามันต้องมีรัฐบาลที่เห็นภาพปัญหานี้ แล้วตั้งใจหาทางออกให้กับพวกเขา เพราะประชาชนตัวเล็กเขาใช้เงินก้อนสุดท้ายไปหมดแล้ว ยังจะมีหนี้นอกระบบหนี้เสียหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มันมาก จนเขาไปไม่ไหว ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้เขาไม่สู้ แต่เขาสู้จนหมดทางเดิน

เขาก็เดินไม่ได้ มันไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

จักรพลบอกว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นตัวแทนผู้ประสบปัญหาได้พูดคุยกับภาคการท่องเที่ยว โรงแรม-อสังหา-คนกลางคืน-ร้านอาหาร เราได้รับเสียงตอบรับและเสียงบ่นมาตลอด ว่ารายได้การท่องเที่ยวแทบจะเป็นศูนย์ในรอบปีที่ผ่านมา พอกำลังจะขึ้นก็มีวิกฤตการณ์ คลัสเตอร์ใหม่ๆ ตลอด ผลพวงจากจากการบริหารและการปล่อยให้มีแรงงานข้ามชาติเข้ามา รวมไปจนถึงมาตรการในการตรวจสอบและคัดกรองที่ไม่ได้เข้มแข็งเพียงพอเกิด

อย่างใน จ.เชียงใหม่ ก็เกินที่จะต้านทานไหว หลายรายรายได้ไม่เข้า โรงแรม-ปางช้างต่างก็ลำบากมาก ปิดตัวไปมากกว่า 80%

ถ้าคิดว่าเราจะยังใช้มาตรการเดิมกินบุญเก่าผมว่าภาคการท่องเที่ยวมันก็จะมลายหายสิ้นไป

ก็อยากจะสะท้อนความเดือดร้อนจากพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนให้ผู้รับผิดชอบทราบ

ผมมองว่าเราถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องโอบอุ้ม เพราะ 1 ร้านอาหารจะช่วยคนได้มากกว่า 100 ชีวิต รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศต้องมองให้ครบทุกมิติ จะมองเพียงแต่มุมสูงเห็นแต่ “หลังคา” แต่มองไม่เห็นใต้ถุน ไม่เห็นองค์ประกอบทั้งหมดของทั้งครัวเรือนว่าเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจปัญหาข้างใน ไม่เปิดใจรับฟัง ก็อยากให้สงสารประชาชนบ้าง

สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยเรียกได้ว่า ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ที่ผ่านมาก็พึ่งพิงเป็นเครื่องยนต์ตัวหลักในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ ณ วันนี้กลับมีความย้อนแย้งอยู่มาก ในขณะที่ภาคสาธารณสุขของเรามีความอ่อนตัว ดังนั้น การที่จะหวังพึ่งการท่องเที่ยวในปีนี้และปีหน้า ก็ต้องมองเรื่องของวัคซีนไวรัสตัวใหม่ให้ดีๆ ว่า จะส่งผลอย่างไร

สำหรับข้อเสนอที่พยายามเน้นย้ำตลอด คือเราเคยเรียกร้องให้มีธนาคารด้านของการท่องเที่ยวมี Soft Loan ต่อลมหายใจก็พยายามยื่นเรื่องกับคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว ในการที่จะขอให้มาโอบอุ้มคนทำธุรกิจภาคกลางคืน-ภาคดนตรี-ปางช้าง-กลุ่มทัวร์ต่างๆ เพราะมันมีช่องว่างมากเหลือเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าถึงได้

ประเด็นต่อมาคือเรื่องวัคซีน ต้องมองภาพรวมด้วย เรามีความพร้อมจริงหรือยัง มาจนถึงตอนนี้ ระลอกที่ 5 แล้ว พรรคเพื่อไทยพยายามเรียกร้องนำเสนอข้อมูลต่างๆ ถึงฝ่ายบริหาร

แต่ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีไวรัสเข้ามา ประชาชนยังรู้สึกว่าไม่ได้รับข่าวสารที่ชัดเจนจากรัฐบาล

ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาได้ ต้องมีความเข้าใจร่วมกัน เดินคู่ขนานกันไป ประชาชนต้องได้รับทราบการจัดการของภาครัฐที่ถูกต้องชัดเจน มีชุดข้อมูลเดียวกัน มันก็แฟร์กับประชาชนที่เขาจะร่วมต่อสู้ให้ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้

แต่ภาพที่เกิดขึ้น นับแต่ระบาดครั้งแรก มีแต่ความไม่เชื่อมั่นรัฐบาล กลับกลายเป็นแผลที่ลึกลง และกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขออนุญาตพูดว่าที่ผ่านมาประชาชนได้รับข้อมูลที่สับสนมาตั้งแต่อดีต ทำให้เขาหมดความเชื่อมั่น-มั่นใจ เขาต้องลืมตาอ้าปากได้ด้วยตัวเองทั้งเรื่องปากท้องเศรษฐกิจวัคซีนและข่าวที่แปรเปลี่ยนข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่รัฐบาลกระทำกลับให้ประชาชนมีความกังวลและความไม่มั่นใจในตัวผู้นำ หรือการบริหารของประเทศ ดังนั้น การที่คนจะกล้าตัดสินใจลงทุน/ท่องเที่ยวมันต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ถ้าประชาชนยังไม่มีความมั่นใจจากการบริหารของรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจะเปิดกิจการอีกครั้ง จะเกิดการจ้างงานใหม่ จะลงทุนใหม่รีโนเวต ชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามามันก็ไม่เกิดขึ้น

ผมว่าปัจจัยเหล่านี้มันไปด้วยกันทั้งหมด หากเริ่มต้นไม่ดีสุดท้ายปลายทางมันก็เห็นทางออกได้ค่อนข้างยาก

จักรพลบอกอีกว่า แม้ว่าทั่วโลกต่างเผชิญสถานการณ์นี้ แต่ผมคิดว่าผู้นำต้องมีความสามารถมากในการบริหารประเทศและนำพาประเทศให้ออกจากวิกฤตงบประมาณที่ใช้กันทะลุเพดานไปแล้วเราจะเดินกันอย่างไรความมั่นใจของต่างประเทศมันก็ไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น พรรคเราพยายามเสนอหลายอย่าง ทั้งภาคการต่างประเทศของเราก็ต้องเข้มแข็งแรงเปิดใจพูดคุย มันเป็นเรื่องสำคัญมากในวิกฤตนี้ หรือหากภาคการท่องเที่ยวมันสูญดับแล้วก็ต้องมองการส่งออกให้มันไปด้วยกันได้ เดินไปข้างหน้าได้ดี

ไปๆ มาๆ ประเทศเรากลับเกิดปรากฏการณ์หลายโรงงานการย้ายฐานการผลิตออกไป มันก็ทำให้เครื่องยนต์ตัวนี้ก็ดับไปด้วย สุดท้ายก็เลยไม่รู้จะเดินไปทางไหน

จากกลไกการคำนวณและตัวเลขทั้งหมดผมว่ายากที่ปี 2565 ประเทศเราจะฟื้น แต่ไม่อยากให้มาเป็นคำพูดที่ดับฝันความหวัง ดังนั้น อยากให้ถอดบทเรียนทั้งหมด การจัดการที่ผ่านมา ทำไมยังไม่เห็นทางออกปลายทางของประเทศเรา แต่ก็ไม่อยากให้เป็นคำพูดที่ดูดับฝัน ผมเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารเปิดใจรับฟัง หรือศึกษาประเทศที่เขาจัดการได้ประสบความสำเร็จ

อย่างการท่องเที่ยวที่ได้รับเสียงสะท้อนคือการมีหลายแอพพ์ ยุ่งยากหลายขั้นตอน ทำไมไม่ทำให้เหลือ 1 App และจบทุกอย่างเพื่อให้เขาตัดสินใจง่ายในการเดินทาง เงื่อนไขเยอะ มันก็เหมือนยิ่งผลักไม่อยากให้ใครเข้ามา

ดังนั้น ปี 2565 จะฟื้นหรือไม่ก็อยู่ที่รัฐบาลจะรับฟังหรือไม่จะสร้าง landmark สิ่งใหม่ๆ หรือไม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจดึงดูดผุ้คน

สุดท้าย จักรพลบอกว่า ตัวผมเองในฐานะได้รับฟังปัญหาของประชาชนมาโดยตลอด และการทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติ 3 ปี ผมมองว่า ไม่ผิดนะที่ท่านจะพยายามทำงานอย่างหนัก แต่ต้องเรียนตรงๆ ว่าความถนัดและขีดความสามารถของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จงอย่าเอา 70 ล้านชีวิตพวกเขามาแบกไว้บนไหล่บนขาของคุณ ถ้าคุณไม่ไหวคุณก็พัก ดัชนีทุกตัวมันสะท้อนแล้วว่าคุณไปไม่ไหว

ไม่ผิดหรอกที่ท่านอยากจะดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ท่านต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมามันก็หมดเวลาพิสูจน์แล้ว เราให้โอกาสพิสูจน์มามากพอแล้ว เราอยากให้มองเห็นตาดำๆ ของประชาชนที่เขาอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคว่าเขาไปไม่ไหวแล้ว

ถ้าท่านเปลี่ยนมันก็จะเปิดทางให้คนอื่นขึ้นมาบริหาร มันอาจจะเป็นทางออกของประเทศก็ได้ เพราะลูกหลานของเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะมาเล่นกันอยู่แค่ไม่กี่กระทรวง วนกันในคณะ ครม.อยู่ในไทยคู่ฟ้า

ประเทศไทยจะค้ำฟ้าหรือไม่ อยู่ที่คนในไทยคู่ฟ้าต้องเลือกแล้ว ต้องตัดสินใจแล้ว

ชมคลิป