กาละแมร์ พัชรศรี : สิ่งที่ได้จากถ้ำยักษ์ (2)

อีกเรื่องที่ฉันก้าวผ่านมาได้คือ “ห้องน้ำ” ค่ะ

เรื่องนี้คือ “เยอะที่สุด” เป็นเรื่องที่คนถามกันเยอะมากว่าห้องน้ำเข้าอย่างไร

เขาจะไม่ให้เราทำธุระที่อื่นใดนอกจากที่ที่เขาจัดให้ คือห้องน้ำที่มีเต็นท์เหมือนเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้า ด้านในมีถังพลาสติกไว้รองรับอุจจาระปัสสาวะ มีโครงเหล็กคร่อมถังไว้และวางฝาชักโครกให้ ด้านข้างมีทิชชูและกระสอบข้าวเปลือกพร้อมขันสำหรับตักกลบหลังทำธุระเสร็จ

กลิ่นอึไม่มี ได้แต่กลิ่นฉี่เท่านั้น (แก้ปัญหาด้วยการเอาผ้าที่ไว้โพกผมก่อนใส่หมวกดึงลงมาปิดจมูกไว้) ออกมามีถังใส่น้ำ สบู่ไว้ล้างมือ

สำหรับฉันต้องจัดระบบการกินน้ำให้ดี มากเกินไประหว่างทางจะฉี่อย่างไร จะได้ฉี่ก็ตอนพักกินข้าวกลางวัน ซึ่งเขาทำห้องน้ำก็คือเต็นท์ไว้ให้

เวลาฉี่ฉันต้องทำท่าสควอร์ตเกร็งขาไว้ไม่ให้ก้นโดนชักโครก คือเป็นคนไม่ชอบโดนโถส้วมนอกบ้านตามที่สาธารณะ แล้วฉันก็คิดว่าจะไม่อึเลยตลอดทริป!!!

แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ฉันต้องสะกดกลั้นตัวเองทุกวัน จนคืนวันที่ 3 ถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับเพราะปวดอึตลอดคืน แล้วคืนนั้นดันเกิดเรื่องน้ำท่วมอีก มันหน้าสิ่วหน้าขวาน จะไปอึก็ใช่ที่

เพราะเต็นท์ห้องน้ำปริ่มๆ น้ำจะขึ้นมาถึงแล้วด้วย เกิดอึอยู่แล้วน้ำพัดจะฮามาก!!!

 

ตอนเช้าปรึกษาเพื่อนว่าที่ผ่านมาอึอย่างไร

เขาบอกเอาน้ำยาล้างมือฆ่าเชื้อโรคราดไปก่อนแล้วเอากระดาษเปียกเช็ดอีกที ไอเดียดีฉันเลยทำตาม แถมปูทิชชูแห้งไว้รองก่อนจะนั่ง ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 3 นาที! (ฮา)

มีคืนหนึ่งปวดฉี่ตอนตี 2 อั้นไม่ไหวละ ลุกขึ้นมาถือไฟฉายฝ่าความมืดมิดมาลำพัง ก่อนนอนมีน้องคนหนึ่งบอกเจอหนูในกระสอบข้าวเปลือก

ในใจภาวนาว่าอย่าเป็นห้องที่เราจะเข้าเลย แหมมมมม

เหมือนมันรู้ค่ะ มันได้ยินเสียงเราระหว่างฉี่ มันโผล่ออกมาจากถุงเลยจ้ะ แล้วเดินลงพื้นอ้าววววว แล้วจะไต่ขากันไหมล่ะ ฉันเลยตัดสินใจเก็บฉี่ที่เหลือ ดึงกางเกงขึ้น แล้ววิ่งไปฉี่อีกห้อง เพราะคิดว่าหนูไม่น่าจะวิ่งตามไปด้วย

สุดๆ อ่ะค่าาาาาาา

 

เรื่องไม่อาบน้ำ ทำให้เราเห็นน้ำเมื่อไหร่เหมือนเป็นโอเอซิส เราจะดีใจและลงไปแหวกว่ายทันที ไม่สนสีน้ำจะขุ่น น้ำจะเย็นยะเยือก ลงไปทั้งชุดเต็มๆ แบบนั้นแหละค่ะป้องกันอันตรายใต้น้ำด้วย

พอฝนตกลงมาในถ้ำก็ไปอาบน้ำฝนเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเคยสนุกกันมาก แล้วเราก็รู้สึกเลยว่าเราจะไปกลัวฝนทำไม จะไม่ยอมเปียกทำไม ในเมื่อมันดีต่อใจเราขนาดนี้

และในวันสุดท้ายที่เราเดินป่าออกมาจากถ้ำ ระหว่างทางร้อนมาก ทางก็เดินยาก เละเทะเหงื่อโชกเต็มตัว

เราใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ สุดท้ายเราก็เจอลำธารขวางอยู่ตรงหน้า เราไม่รอช้าที่จะลงไปแช่ให้สบายใจ น้ำใสไหลเย็นเป็นที่สุด ความเหนื่อยล้า ความร้อนมันมลายหายไปสิ้น ความสุขมันง่ายขนาดนี้เองเหรอ เราเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ แทบไม่ยอมเดินต่อ

แต่ลำธารทำให้เรารู้ว่า “ความสุขมันอยู่ใกล้ตัวและง่ายดายเหลือเกิน”

 

ในวันท้ายๆ มีเพื่อนบางคนไม่สะพายเป้แล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แบกของใส่กระเป๋ามาเต็มไปหมด แต่เขารู้แล้วว่าระหว่างทางมันทำให้เขาหนักแค่ไหน ล้าแค่ไหน และทำให้เขาไม่คล่องตัว

แถมบางครั้งเป้นี่แหละเป็นอุปสรรคระหว่างเดินทาง เพราะเจอช่องแคบๆ รูเล็กๆแค่ลำพังตัวเองก็ยากแล้ว นี่ต้องเอาเป้ที่ใหญ่และหนักไปด้วย

มันเทียบได้กับชีวิตเรานี่แหละ เราแบกอะไรในชีวิตมากมายไปหมด บางสิ่งไม่ได้จำเป็นเลยแต่เราก็พามันไปทุกที่ เป็นภาระ เหนื่อยเปล่าๆ และมันก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ลองไม่ต้องแบก ไม่ต้องยึดติดว่าเราต้องมีสิ่งนี้สิ่งนั้น ไม่มีไม่ได้ พอเราลองไม่มีมันก็เบาตัวดีเหมือนกัน

เป้ในชีวิต เอาเข้าจริงเรามีของจำเป็นแค่ไม่กี่อย่างหรอก

อะไรที่มันหนักลองเอามันออกจากเป้ไปบ้าง แล้วเราจะรู้ว่า เรายังอยู่ได้

เรายังสบายดี

 

อีกอย่างที่ฉันเรียนรู้จากการเข้าถ้ำคือ ฉันรู้จักการไว้ใจคนที่อยู่เคียงข้างฉันมากขึ้น!

ระหว่างทางเดินฉันจะมีผู้ช่วยด้านความปลอดภัยคอยจับมือดึงขึ้นบ้าง ยันตัวฉันไม่ให้เซบ้าง จับขาฉันไว้ไม่ให้ลื่นบ้าง คอยบอกให้ฉันระวังต้นไม้ หินลื่นบ้าง และยังให้กำลังใจตอนถึงทางที่ยากๆ อีกด้วย ไม่มีเขาก็ไม่มีฉันตรงนี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตฉัน ฉันไม่เคยไว้ใจผู้ชายคนใดที่เดินจูงมือฉันอย่างสนิทใจสักที

ฉันไม่เคยมั่นใจว่าเขาจะนำพาชีวิตฉันได้ ฉันลังเลสงสัยในตัวเขา ไม่เชื่อถือจนปล่อยมือกลางทางเสมอ

หลังจากครั้งนี้ฉันจะเปิดโอกาสและลองเชื่อใจให้เขาลองนำทางดู และจะยอมเป็นผู้ตามที่ดี (ฮา)

พอออกจากถ้ำมา ฉันยิ่งชอบชีวิตที่เป็นอยู่ของตัวเอง มีความสุขกับสิ่งง่ายๆ ที่มี ใช้ชีวิตง่ายขึ้น บางครั้ง ความลำบาก ความกลัว ความไม่เคยชินที่เราไม่ชอบมันเลย สุดท้ายมันก็ให้รางวัลกับเราในตอนจบแบบง่ายๆ นี่เอง

ความสุขมันง่ายๆ เสมอค่ะ…