ย้อนอ่านความคิด ‘เพชร กรุณพล’ ก่อนสวมเสื้อ ‘ก้าวไกล’ ลงสนาม ‘เลือกตั้งซ่อมหลักสี่ฯ’/เปลี่ยนผ่าน ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี

เปลี่ยนผ่าน

ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี

 

ย้อนอ่านความคิด ‘เพชร กรุณพล’

ก่อนสวมเสื้อ ‘ก้าวไกล’

ลงสนาม ‘เลือกตั้งซ่อมหลักสี่ฯ’

 

พรรคก้าวไกลเพิ่งประกาศส่ง “เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ” อดีตนักแสดงหนุ่มที่ยืนหยัดเคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอดหลายปีหลัง ลงสนามเลือกตั้งซ่อมในเขต 9 กทม. (เขตหลักสี่และเขตจตุจักร ยกเว้นแขวงจตุจักรและแขวงจอมพล) หลังจากเจ้าของพื้นที่เดิม คือ “สิระ เจนจาคะ” แห่งพรรคพลังประชารัฐ ต้องสิ้นสภาพ ส.ส.ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน รายการ “เอื้อย talk” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี เพิ่งได้พูดคุยกับเพชร กรุณพล ในหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวปัญหาบ้านเมือง

ซึ่งบางคำถาม-คำตอบจากบทสนทนาครั้งนั้น น่าจะส่องสะท้อนให้สังคมมองเห็นถึงตัวตน-แนวคิดของ “นักการเมืองหน้าใหม่” คนนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

 

ณ ช่วงเดือนพฤศจิกายน เมื่อถามเพชรว่าเขาคิดจะเข้ามาทำงานการเมืองอย่างจริงจังหรือไม่?

เจ้าตัวยังให้คำตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แม้จะยอมรับชัดเจนว่าตนเองได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลและเข้าร่วมทำงานกับพรรคมาบ้างแล้วในระดับหนึ่ง

“จริงๆ ไม่รู้หรอกครับว่าจะลงการเมืองหรือไม่ลงการเมือง แต่ว่า ณ วันนี้ เรารู้สึกว่าเราอยากมาขับเคลื่อนภาคประชาชน ได้ช่วยพรรคการเมืองที่เราเป็นสมาชิก แล้วก็เราเห็นว่านโยบายของพรรคเขาดี ก็คือพรรคก้าวไกล

“เราเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว เราก็ออกไปช่วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. หาเสียงแนะนำตัวกับประชาชน เพราะว่ามันยังไม่ได้เลือกตั้ง แต่พรรคเขาเริ่มที่จะส่งรายชื่อมาว่าใครจะลงเขตไหน ใครจะลงทำอะไรตรงไหน

“แล้วเราก็รู้สึกว่า เออ เราเป็นคนที่คนรู้จัก แต่น้องๆ ที่เป็นว่าที่ (ผู้สมัคร) เนี่ยไม่มีคนรู้จัก เพราะฉะนั้น การที่เอาหน้าเราไป เอาตัวเราไป ให้คนเห็นว่าเราเป็นใคร มันเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ เกิดการปฏิสัมพันธ์ได้ง่าย

“ก็จะทำให้คนได้รู้จักนโยบาย รู้จักแนวทางของพรรคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะหลายคนก็ยังมองภาพว่าพรรคนี้เป็น ‘พรรคล้มเจ้า’ เป็นพรรคที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เลย”

 

เมื่อถามต่อว่าเขามีจุดมุ่งหมายในการเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรีหรือไม่?

เพชรไม่ปฏิเสธว่าเขามีความคิดอยากจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

“ไม่ได้หวังอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าในวันข้างหน้ามีโอกาสก็อาจจะลง ส.ส. แต่รัฐมนตรีเนี่ยไม่เคยคิดอยู่ในสมองเลย เราแค่รู้สึกว่าเราอยากเป็นเสียงเสียงหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่เข้ามานำเสนอ ในมุมมองของเรา ซึ่งถูกผิดเราไม่รู้หรอก สุดท้ายมันก็ต้องไปใช้เสียงในสภาในการตัดสิน

“แต่เราก็เชื่อมั่นว่า ถ้าสมมุติวันหนึ่งเรามีโอกาสได้เป็นนักการเมือง เราคิดว่าเราก็ไม่ใช่คนทุจริตคดโกง เราก็เป็นคนที่มีตรรกะค่อนข้างไม่บิดเบี้ยว ถ้าเรามีโอกาสได้ทำงานตรงนี้ มันก็คงจะลดคนไม่ดีข้างในนั้นออกไปได้หนึ่งคน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ทำแบบนั้นหรือเปล่า?”

 

ในฐานะคนเคยไปร่วมชุมนุมกับ “ม็อบคนรุ่นใหม่” ทางผู้ดำเนินรายการได้สอบถามเพชรว่าเขามีความเห็นอย่างไรที่บรรดาเยาวชนแกนนำม็อบกำลังถูกเล่นงานอย่างหนักหน่วงโดยกลไกทางกฎหมาย?

“เศร้าครับ เศร้ากับกระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ ที่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ตีความกฎหมายตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

“เราจะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่ความคิดของเพชรคนเดียว มันเป็นความคิดของอาจารย์ของคนที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย ที่เห็นแตกต่างกัน มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับที่ตัดสินแบบนั้น มีทั้งคนที่เห็นคัดค้าน แต่ถ้าเราได้มามองเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เขาได้ใช้ตัดสินแล้ว มันจะเห็นความบิดเบี้ยวไม่ชัดเจนของการตัดสิน

“แล้วเราก็รู้สึกว่าน้องๆ เขาไม่ได้ทำอะไรที่มันร้ายแรง คิดว่าเด็กอายุ 20 กว่าๆ ที่ไม่มีอาวุธ มีแค่เสียงที่ส่งออกมา มีแค่การรณรงค์ที่ส่งออกมา มันจะล้มล้างระบอบการปกครองได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?

“แต่มันน่าแปลกใจตรงที่คนที่มีรถถัง คนที่มีอาวุธสงคราม คนที่มีกองกำลังออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วก็แต่งตั้ง ส.ว.กลับเข้ามาเลือกตัวเอง แบบนั้นกลับได้รับการยอมรับว่าไม่ได้ล้มล้างการปกครอง ประเทศนี้มันค่อนข้างบิดเบี้ยว”

 

เมื่อถามต่อว่าในฐานะมวลชน เขาเคยรู้สึกท้อบ้างหรือไม่ที่กระแสของม็อบเหมือนจะแผ่วลงไปในปี 2564 ขณะเดียวกัน แนวโน้มการต่อสู้ก็ดูจะกลายสภาพเป็นภารกิจระยะยาวเด่นชัดขึ้น?

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลกลับยังมองเรื่องนี้อย่างเต็มเปี่ยมความหวัง

“ถามว่าเราท้อไหม? ไม่ท้อ ไม่ท้อเลย เพราะการต่อสู้มันไม่ใช่จะจบภายในวันหรือสองวัน การต่อสู้มันไม่ใช่จะจบภายในปีหรือสองปีด้วยซ้ำ กับการต่อสู้ที่เรียกร้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ

“ประเทศไทยไม่เคยเลยนะ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เราไม่เคยกล้าพูดถึงมาตรา 112 กันได้เสียงดังขนาดนี้ ไม่เคยกล้าพูดถึงการปฏิรูปตรวจสอบสถาบันได้มากขนาดนี้ เราไม่เคยกล้าพูดถึงคนที่ติดคุกติดตะรางในคดีนี้ได้เสียงดังขนาดนี้

“เพราะฉะนั้น เพชรถือว่าการขับเคลื่อนของม็อบมาได้ไกลและเร็วมาก แต่บ้านน่ะมันไม่ได้สร้างเสร็จในหนึ่งวัน นอกจากเป็นบ้านน็อกดาวน์ (ยิ่ง) เราอยากสร้างเมืองทั้งเมือง ฉะนั้น มันต้องใช้เวลา”

 

ในช่วงท้ายของการบันทึกเทปรายการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 เพชร กรุณพล ยังได้ฝากข้อความไปถึงเพื่อนร่วมประเทศทุกคนว่า

“ก็ต้องบอกทุกคนนะครับว่าวันนี้มันเป็นวิกฤตของประเทศ วิกฤตศรัทธา วิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทุกอย่างของประเทศนี้ เราเหนื่อยได้ เราท้อได้ แต่เราอย่ายอมแพ้ เพราะว่าชีวิตเรายังต้องเดินต่อ เราต้องการกำลังคนของทุกคน ทั้งกำลังกายและกำลังใจในการขับเคลื่อนประเทศนี้ให้มันดีขึ้น

“อะไรที่มีคนทำให้มันเลวร้าย ถ้าเราไม่ใส่ใจ ถ้าเราไม่แก้ไข เราไม่ร่วมมือช่วยกัน ไอ้สิ่งเลวร้ายนั้นมันก็จะกองอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วมันก็จะเป็นสารพิษที่ทำให้เราเองรู้สึกย่ำแย่ สุขภาพกายสุขภาพใจเราก็จะแย่

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะทำได้ก็คือลุกขึ้นมาครับ ลุกขึ้นมาค่อยๆ ลงมือทำ ทีละเล็กทีละน้อย คนหนึ่งคนมันอาจจะทำได้น้อย แต่สิ่งน้อยๆ ถ้ารวมกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นแสนเป็นล้าน มันจะกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่

“แล้ววันนั้น วันที่ท้องฟ้ามันจะเปิด วันที่ประเทศชาติมันจะดีกว่านี้ มันจะมีขึ้นได้ครับ แต่ว่ามันต้องใช้เวลา ต้องอดทนครับ”