เรื่องสั้น : ห้องรีไซเคิลความทรงจำ

เรื่องสั้น

อินทร อรพัน

 

ห้องรีไซเคิลความทรงจำ

 

1 เขาตัดสินใจขับรถออกมาหลังจากการสอบปลายภาคของนักเรียนเสร็จสิ้น ห้อตะบึงอย่างไร้จุดหมาย ภาพแห่งความแค้นเคืองแย่งชิงสมาธิการขับรถตลอดทาง เวลาถูกเผาผลาญไปพร้อมกับเชื้อเพลิง รู้ตัวอีกทีเป็นเวลาค่อนคืน ความมืดเข้มข้นบีบรัดจากทุกทิศทาง มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถเท่านั้นที่สร้างความอุ่นใจ

ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของตนเอง กวาดสายตามองหาป้ายโรงแรมสองข้างทาง หรี่เสียงวิทยุลง เพราะยามค่ำคืนอันเงียบสงัดทำให้เสียงเพลงดังขึ้น

“รถหายไปไหนหมด” เขาพึมพำ

เริ่มกังวลใจขึ้นมาบ้าง แต่ความเสียใจที่ได้รับกลับสร้างความกล้าขึ้นมาต่อสู้ คลื่นวิทยุค่อยๆ ขาดหาย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ไร้ความห่วงใยจากเธอคนนั้น เธออาจติดต่อมา แต่บริเวณนี้ไร้สัญญาณ เขาคิดเข้าข้างตัวเอง

พบว่าตนเองขับรถอยู่ในอุโมงค์แห่งความมืดมิดที่ไม่มีวันสิ้นสุด ราวกับเป็นดินแดนเวทมนตร์ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต เหลือบมองที่เกจ์น้ำมัน เข็มตกไปพื้นที่สีแดง ความมืดเริ่มเป็นภัยคุกคาม และการที่ต้องคาดเดาว่ารถจะวิ่งไปได้ไกลเพียงใดก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับการไต่ลวดข้ามหน้าผา ระหว่างนั้นเขาพบแสงสว่าง ป้ายไฟริมถนนปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกไม่ไกล ไม่โรงแรมก็รีสอร์ต ไม่รีสอร์ตก็ร้านอาหาร เขาคาดคะเน

ก่อนเหยียบคันเร่งเข้าหาป้ายไฟ

 

2 ตัวเลข ‘250’ เป็นจุดเด่นของป้าย มากกว่าที่จะเป็นชื่อโรงแรม มุมซ้ายบนมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘คืนละ’ ด้านล่างสุดของป้ายเป็นลูกศรบอกให้เลี้ยวซ้าย

ทางแคบโรยด้วยหินกรวด เสียงล้อบดอัดถนนได้ยินเข้ามาถึงด้านในรถ เขาเริ่มเบาใจพอที่จะคิดอะไรไร้สาระขึ้นมาได้บ้าง สงสัยว่าทำไมป้ายไฟจึงไม่บอกชื่อโรงแรม แทนที่จะเป็นราคาค่าห้องพัก คงใช้ราคาถูกหลอกล่อผู้สัญจร เพราะอย่างต่ำค่าห้องพักทุกวันนี้ไม่น้อยกว่าห้าร้อย นี่คงเป็นกุศโลบายของโรงแรม และมันใช้ได้ผลทีเดียวในความคิดเขา

ครั้นผ่านม่านพฤกษา ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นท้องทุ่งกว้างที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดดำ ถนนเปลี่ยนเป็นผิวดิน แสงสว่างจากลานจอดรถของโรงแรมส่องมาให้เห็น ความกังวลใจเรื่องเชื้อเพลิงถูกหันเหไปที่ความวังเวงและความพิลึกพิลั่นของสถานที่ตั้งโรงแรม เขาเลี้ยวรถเข้าชายคาที่จอดรถ ซึ่งมีรถจอดอยู่ก่อนหน้าแล้วสามคัน หลังลงจากรถกวาดตาสำรวจอาคารด้วยรวม และพบว่ามันเป็นตึกสามชั้น ความมืดของราตรี พร่าเลือนรายละเอียดไปหมดสิ้น และความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลก็ฉุดรั้งความสนใจในการสำรวจให้น้อยลงไปด้วย

เขาเดินเข้าไปเช็กอิน พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มต้อนรับ เป็นชายแก่ใบหน้าละม้ายชาวตะวันตก ทรงผมถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ แต่งกายด้วยชุดสูทสีขาวผูกไท้อย่างสุภาพ

“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าต้องการ…” ไม่ทันที่ชายแก่จะพูดจบ เขาก็กล่าวแทรกขึ้น “คืนเดียวครับ” ชายแก่ยิ้มหยิบเงินพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชนของเขาก่อนยื่นกุญแจ ขณะจะหันหลังเดิน ก็นึกขึ้นได้ว่ารถน้ำมันจะหมด

“ไม่ทราบว่าแถวนี้มีปั๊มน้ำมันไหมครับ?”

“ไม่ไกลจากที่นี่ครับ บนถนนสายหลัก”

“ขอบคุณครับ”

ภายในห้องพักเรียบง่ายเกินธรรมดา ให้ความรู้สึกชอบกล หลอดไฟนีออนถูกติดทแยงมุมสี่สิบห้าองศาบริเวณผนังห้องทางทิศเหนือแทนที่จะเป็นบนเพดาน ส่วนเพดานมีนาฬิกาทรงกลมสีขาวติดอยู่ หากต้องการรู้เวลาต้องแหงนคอตั้งบ่า หรือนอนราบไปกับพื้น มีฟูกขนาดหนึ่งคนนอนชิดมุมห้องด้านทิศตะวันตก ข้างหัวนอนมีหนังสือปกหนังสีขาวเล่มหนึ่งวางอยู่ แม้จะมีความหงุดหงิดเล็กๆ อยู่ในใจ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคาที่ต้องจ่าย ก็รู้สึกว่าไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากไปนัก

และอีกอย่าง เขาคิดว่าการตกแต่งห้องเช่นนี้เป็นการจงใจของเจ้าของโรงแรม ซึ่งอาจเป็นชาวต่างชาติ ที่มีความคิดแปลกใหม่ มากกว่าจะเป็นการประหยัดงบฯ ของโรงแรม

 

3 เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนเรียกใครคนหนึ่งดังมาจากห้องข้างๆ ปลุกเขาตอนรุ่งสาง หงุดหงิดที่ถูกปลุกโดยเสียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัดสินใจลุกไปอาบน้ำเรียกความสดชื่น และสลัดความกระวนกระวายใจที่เกิดขึ้นในคืนก่อนออกจากหัว เขาพาตัวเองทิ้งตัวลงนอนบนฟูกอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยังคงไร้สัญญาณ เสียงจากห้องข้างๆ เงียบลงไปแล้ว แต่เสียงจากห้องตรงข้ามดังขึ้นแทน ซึ่งเขาจับใจความได้ว่าเป็นการพูดถึงชุดตัวเลขอะไรสักอย่าง ทุกอย่างรอบตัวดูผิดแปลกไปหมด จึงตัดความรำคาญด้วยการลงไปเช็กเอาต์ และถือโอกาสร้องเรียนลูกค้าห้องข้างๆ ไปในตัว

ประตูเปิดไม่ได้! ราวกับถูกล็อกกุญแจจากด้านนอก เขาพยายามขยับลูกบิดและเคาะเรียกขอความช่วยเหลือจากด้านนอก ทว่าไร้เสียงตอบรับใดๆ นอกจากเสียงตะโกนชุดตัวเลขของแขกห้องตรงข้าม เขาตะโกนขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีก พยายามใช้กำลังมากขึ้นในการผลักประตู มองหาหน้าต่างหวังเรียกคนจากภายนอก แต่เปล่าประโยชน์ ห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงหน้าต่างหลอกที่จะมองเห็นจากด้านนอกเท่านั้น เขาพาตัวเองมาสงบจิตสงบใจอยู่ที่ฟูก พยายามใช้สติในการแก้ปัญหา เพราะหากทรัพย์สินของทางโรงแรมเสียหาย ก็ไม่พ้นที่เขาจะต้องรับผิดชอบ หายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายสิบครั้ง และรอให้อาการเหนื่อยหอบบรรเทาลง เขาจึงเดินไปที่ประตูอีกครั้ง เคาะประตู บิดลูกบิด และตะโกนขอความช่วยเหลือสลับกันไปมา พรางคิดไปว่านี่เป็นวันเฮงซวยอะไร และระหว่างที่ความอดทนกำลังจะหมดลง ก่อนที่เขาตั้งท่าจะพังประตู ก็มีเสียงฝีเท้าเดินผ่านมาที่หน้าห้อง เขาตะโกนเรียกและเคาะประตูตึงตัง

“ช่วยผมด้วย ประตูห้องมันเปิดไม่ได้ครับ” น้ำเสียงโล่งใจระคนลุกลี้ลุกลน

“คงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะประตูมีไว้เพื่อคุมขัง ไม่ได้มีไว้เพื่ออิสรภาพ” เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของชายแก่หน้าเคาน์เตอร์

“หมายความว่าไง?”

“ทางโรงแรมมีนโยบายไม่ต้องการให้แขกออกไปจากที่นี่จนกว่าจะถึงเวลา”

“ผมจะพังประตู พอออกไปได้นะ ผมแจ้งความเอาผิดคุณและเจ้าของโรงแรม” น้ำเสียงเดือดดาลของเขาเรียกเสียงหัวเราะให้กับชายแก่

“ผมหวังว่าคุณจะทำสำเร็จ” สิ้นเสียงชายแก่ เสียงถีบประตูก็ดังขึ้น

หลังจากบานประตูพังลง เขาก็พบว่ามีประตูเหล็กซ่อนอยู่ข้างในอีกชั้น “นี้มันโรงแรมห่าเหวอะไรวะ” เขาเดินกระทืบส้นเท้าไปมารอบห้อง ก่อนค่อยๆ รวบรวมสติ เดินกลับมาที่ประตูอีกครั้ง

“ปล่อยผมออกไปจากที่นี่นะครับ” น้ำเสียงสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด

“ผมไม่มีอำนาจนั้น เพราะมันเป็นนโยบายของทางโรงแรม” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ “ผมทำได้เพียงแนะนำให้คุณอ่านหนังสือเล่มที่อยู่ข้างหัวนอน แล้วคุณจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่”

 

4 เขาต้องอ่านหนังสือที่วางอยู่ข้างหัวนอนเพื่อแลกกับอาหารและน้ำดื่ม นั่นคือคำแนะนำของชายแก่ โดยเขาต้องอ่านวันละสามเวลา เพื่อแลกกับอาหารสามมื้อ และยิ่งเขาท่องจำเรื่องราวในหนังสือได้ขึ้นใจเร็วเท่าไหร่ เขาจะเป็นอิสระเร็วเท่านั้น อย่าคิดฉีกหนังสือทิ้งเป็นอันขาด เพราะนั่นเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ และคำแนะนำสุดท้ายของชายแก่บอกกับเขาว่าพยายามใช้สมองจดจำ อย่าได้มีความรู้สึกร่วมไปกับเนื้อหาในหนังสือเด็ดขาด เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาคิดว่ามันเป็นเกม หรือรายการทีวีที่แอบถ่ายทำ และคิดว่า ในเมื่อเขาไม่มีจุดหมายให้ไปต่อ อีกทั้งไม่ต้องการย้อนกลับไปเผชิญหน้ากับความหมางเมินในที่ซึ่งเขาพึ่งจากมา จึงไม่เสียหายอะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อ และเล่นเกมนี้ให้ลุล่วง

เขาพาตัวเองไปนั่งที่ฟูกและหยิบหนังสือปกขาวขึ้นมาเปิดดูคร่าวๆ มีไม่กี่หน้าเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องยากอะไรกับสมองของคนหนุ่มเช่นเขาที่จะจดจำเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือ เขาวางหนังสือไว้ข้างตัว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แบตเตอรี่โทรศัพท์ใกล้หมด ยังคงไม่มีสัญญาณเช่นเดิม เขาคิดว่าคงเป็นฝีมือเจ้าของโรงแรมผู้คิดเกมพิลึกพิลั่นนี้ หรือไม่ก็เพราะโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญ กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ไม่อาจส่งถึง เธอจะโทร.มาง้อหรือเปล่า? เธอจะกระวนกระวายใจบ้างไหมเมื่อเขาไม่อยู่? หรือเธอเพียงรอให้เขาหายโกรธและกลับมาเองเช่นวันที่ผ่านมา เขาคิด

เริ่มรู้สึกหิวและเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับครูหนุ่มคนหนึ่ง ที่กลับไปยังห้องพักของตัวเองเพราะลืมอุปกรณ์ศิลปะที่จะใช้เป็นสื่อการสอน เมื่อกลับถึงห้อง ครูหนุ่มพบว่าห้องถูกล็อกจากด้านใน รู้สึกแปลกใจว่าเวลานี้แฟนสาวควรออกจากห้องไปสอนได้แล้ว ครูหนุ่มจึงเคาะประตู

ไร้เสียงตอบรับ ได้ยินเพียงเสียงความเคลื่อนไหวจากคนข้างใน

ประตูถูกเปิด แฟนสาวอยู่ในชุดราชการที่ไม่เรียบร้อยนัก

“รู้สึกไม่ค่อยสบายเลยกลับมานอน” นั่นคือคำตอบจากแฟนสาว “ลืมของ” ครูหนุ่มตอบพร้อมกับพรวดพราดเข้าไปหยิบของที่ต้องการ แต่ไม่ลืมที่จะสอดสายตาหาความผิดปกติ

กลิ่นน้ำหอมผู้ชายซึ่งไม่ใช่กลิ่นหรือยี่ห้อที่ครูหนุ่มใช้ และรอยรองเท้าที่เปื้อนอยู่ที่ขั้นบันไดก็ไม่ใช่รองเท้าที่ครูหนุ่มสวมใส่ ชั่วโมงนั้นครูหนุ่มสั่งงานเด็กนักเรียน ส่วนตัวเองมาซุ่มดูแฟนสาว พบครูพละออกมาจากห้องก่อน

ราวสิบนาทีถัดมาแฟนสาวของครูหนุ่มตามออกมา คงเสียเวลาไปกับการแต่งหน้าทาปาก และจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย

 

5 เขาปิดหนังสือ พลันถาดอาหารก็ถูกส่งเข้ามายังช่องใต้ประตู น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองตา เนื้อหาในหนังสือ มันคือเรื่องราวของเขา อาหารเช้าถูกกลืนกินอย่างฝืดคอ ความกล้ำกลืนถูกคลุกเคล้าในสำรับอาหาร จริงอย่างที่ชายแก่แนะนำ ให้ใช้สมองจดจำ อย่าได้ใช้ความรู้สึก รู้สึกเคว้งคว้างในหัว ห้องที่โล่งเกินความพอดีให้ความรู้สึกเดียวดาย ผนังห้องสีขาวทั้งสี่ด้านชี้ชวนให้สมองฉายเรื่องราวในอดีตลงไป ไม่ต่างจากจอภาพยนตร์ เขาถูกห้อมล้อมด้วยความเศร้า และถูกคุมขังด้วยความเสียใจ เขาพยายามควบคุมสติ เดินไปรอบห้อง เกมนี้ไม่สนุกอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว เขาต้องอ่านความเจ็บปวดของตัวเองซ้ำๆ เพื่อร่างกายอิ่มแต่จิตใจร้าวราน เขาเดินไปรอบๆ ห้อง นับแผ่นกระเบื้องปูพื้น พยายามหาทางออกให้ตัวเอง เริ่มเข้าใจพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของแขกห้องข้างๆ และห้องตรงข้ามแล้ว คงเป็นวิธีการหาทางออกของพวกเขา

เมื่อมีสติ ปัญญาก็เกิด เขาไม่จำเป็นจะต้องอ่านให้ครบวันละสามเที่ยวหากเขาไม่ต้องการอาหารวันละสามมื้อ และคิดวิธีการประหยัดพลังงานโดยการนอนอยู่เฉยๆ เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด

และห้วงเวลานั้นเอง ที่เขาสดับรับฟังความเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมชะตากรรม

 

6 เขาได้ยินห้องข้างๆ ถามอยู่ตลอดเวลาว่าเห็นลูกชายเธอไหม (ซึ่งน่าจะคุยกับตัวเอง) โดยบอกเบาะแสเพียงว่า ลูกชายเธอพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนถูกบุคคลนิรนามอุ้มหายไป เขาสันนิษฐานเอาว่าเนื้อหาในหนังสือที่หญิงห้องข้างๆ อ่านนั้น คงเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ลี้ภัยทางการเมืองมายังต่างแดน ก่อนถูกลักพาตัว ซึ่งเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง

เขานอนฟังหญิงห้องข้างๆ ตะโกนชื่อลูกตัวเองซ้ำๆ และวิ่งไปรอบๆ ห้องครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่ากี่ร้อยรอบที่เธอวิ่ง ไม่รู้ว่ากี่หมื่นก้าวที่พาเธอวนเวียนกลับมาที่เก่า เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่เขาแน่ใจคือ ขณะที่เธอวิ่งวนเวียนอยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายนั้น มีหยดน้ำตารินไหลมาตลอดทาง

ส่วนชายห้องตรงข้าม ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้ว คงอยู่ในวัยชรา เอาแต่พูดพร่ำถึงชุดตัวเลข “2500, 2501, 2514, 2519, 2520, 2534, 2549, 2557” หรือบางทีก็ตะโกน “วิ่ง” “หมอบลง” “ถอยก่อนแก๊สน้ำตา” “ไอ้ทรราช” “มันใช้กระสุนจริง” “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่”

 

7 แต่ยิ่งนอนอยู่เฉยๆ ไม่มีกิจกรรมใดให้ทำ บวกกับความรู้สึกหิวที่กินอาหารไม่ครบสามมื้อ ยิ่งทำให้เขาฟุ้งซ่าน เขาจึงหันเหเข้าหาหนังสืออีกครั้ง โดยแสร้งทำเป็นอ่าน แต่เพื่อความแนบเนียน เขาจำเป็นจะต้องอ่านแบบจริงจังและจับเวลาว่าแต่ละหน้าใช้เวลาเท่าไหร่ เขาเชื่อว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ในนี้ หากแผนการนี้สำเร็จ เขาจะได้กินอาหารอย่างไม่ต้องปวดใจ

เขายิ้มให้กับความปราดเปรื่องของตัวเอง เมื่อถึงมื้ออาหาร เขาก็เริ่มแผนการ และก้มหน้าสบตากับหน้ากระดาษ ครั้นได้เวลาที่เคยจับเวลาไว้ เขาก็พลิกหน้าใหม่ทันที เขานั่งเอาหลังพิงผนังอ่านหนังสืออย่างกำมะลอ นอนอ่านหนังสืออย่างกำมะลอ หรือแม้แต่เดินอ่านหนังสืออย่างกำมะลอไปรอบๆ ห้อง

เขากระหยิ่มยิ้มแก่ตนเอง เพราะทำมันได้อย่างแนบเนียน และได้อาหารมาอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องฝืนกล้ำกลืนอ่าน ทว่าวันต่อๆ มาแม้จงใจไม่ไยดีต่ออักษรตรงหน้