ที่สุดของปี 2564 (2)/เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

 

ที่สุดของปี 2564 (2)

 

ฉบับที่แล้วผมได้นำเสนอ “ที่สุดของปี 2564” ไปแล้ว 5 ที่สุดนะครับ ฉบับนี้มาต่อกันกับอีก 5 ที่เหลือกัน ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้เรียงลำดับจากเกณฑ์อะไรแต่อย่างใด

สำหรับ 5 ที่สุดที่แถลงไขไปแล้วมี “แยกทางกันดังที่สุด” คือ คู่หนุ่มเวียร์กับสาวเบลล่า, “อินเตอร์ที่สุด” ได้แก่น้องลิซ่า คนเก่งแห่งวงแบล็กพิงค์, “แหกขนบที่สุด” เป็นของ “#RealSizeBeauty” ของน้องแอนชิลี สก๊อต เคมมิส จากเวทีประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2021, “ยอดฝีมือที่สุด” คือนักกีฬาแบดมินตันคู่ผสม “บาสและปอป้อ” และ “ฮือฮาผ้าเหลืองที่สุด” อันนี้ต้องนิมนต์พระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ มารับประเคนไป

สำหรับที่สุดในฉบับนี้ จะตีวงกว้างเป็นการมองระดับประเทศมากขึ้น

 

โดยที่สุดลำดับต่อไป ได้แก่ “น่าชื่นชมที่สุด” คุณผู้อ่านอาจจะนึกว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรในระดับประเทศที่น่าชื่นชมได้อีกหรือ?

ก็จะบอกว่าในความวิกฤตของการเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ที่น่าชื่นชมที่สุดก็ยังเป็น “ระบบสาธารณสุขของไทย” ที่ประกอบด้วยเหล่าอาจารย์แพทย์ คณะแพทย์ เหล่าพยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในทุกๆ บทบาท ที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้อย่างดี

แน่นอนที่ไม่สามารถทำให้มันหมดไปได้ แต่การป้องกัน รักษา และเฝ้าดูแลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดของบุคคลเหล่านี้ ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องเผชิญกับความหนักหนาของผลพวงจากโควิดมากไปกว่านี้ อย่างน้อยยอดผู้เสียชีวิตก็ลดลงจนเหลือเลข 2 หลักมาสักระยะแล้ว

ท่ามกลางการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการลง และเปิดประเทศอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสุ่มเสี่ยงกับการกลับมาแพร่ระบาดขนานใหญ่ แต่การระดมฉีดวัคซีนและการเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทุกท่าน ทำให้เราเอาตัวรอดไปได้ ไม่สอบตก แต่ก็ต้องวงเล็บไว้ด้วยว่าการ์ดก็อย่าตก

และในปีหน้า ปี 2565 ก็ยังเชื่อว่าระบบสาธารณสุขของเราก็จะยังคงต้องเข้มข้นอยู่ไม่คลาย จึงเป็นที่มาของตำแหน่ง “น่าชื่นชมที่สุด” ไปโดยไม่ต้องโดสเข็ม 4 เข็ม 5 เลย

 

ที่สุดต่อมาเป็นของ “สะใจกองเชียร์ที่สุด” อ๊ะ อ๊ะ…ไม่ใช่กองเชียร์กีฬาไหนนะครับ แต่เป็นกองเชียร์ความยุติธรรมของกฎหมายบ้านเมือง นั่นคือเคสของ “เปรมชัย กรณีล่าเสือดำ”

เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2561 และได้มีการแจ้งความกับนายเปรมชัย กรรณสูต แห่ง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และพวกพ้อง ในหลายกระทง ซึ่งมีความผิดแน่นอนจากหลักฐานที่พบเจอ แต่สำหรับกระบวนการตัดสินนั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนจับตาดูมาตลอดว่าจะออกมาอย่างไร เพราะด้วยช่องว่างของกฎหมายอาจทำให้ “จำเลย” หลุดรอดความผิดได้ ซึ่งก็น่าแปลกใจที่มักจะเกิดขึ้นกับคนรวยมีฐานะ

จนเกิดมีคำพูดที่แสลงใจว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น”

กองเชียร์ที่ว่านี้คือ เชียร์ให้การตัดสินเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม ผู้กระทำความผิดก็ควรได้รับโทษตามสมควร ซึ่งสุดท้ายในวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ศาลฎีกาก็ตัดสินให้นายเปรมชัยมีความผิดต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 14 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งก็ตามมาด้วยเสียงเฮและเสียงปรบมือจากกองเชียร์ผู้รักความยุติธรรม

เป็นความสะใจที่ทำให้ “สังคมไทย” มีความน่าอยู่มากขึ้นไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องขอชื่นชมสปิริตของคุณเปรมชัย ที่ยินดีเข้าสู่กระบวนการตัดสินโดยไม่คิดหลบหนี ซึ่งคนมีฐานะและมีพวกพ้องอย่างคุณเปรมชัยน่าจะทำได้ไม่ยาก เหมือนที่หลายคนเคยทำจนกลับเข้าประเทศไม่ได้ตอนนี้ และในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปชดใช้ผลการกระทำในเรือนจำตามคำตัดสินของศาลทันที

แต่การตัดสินจากสังคมนั้น เขาถูกพิพากษามานานแล้ว

 

เอาล่ะ มาว่ากันถึงที่สุดต่อไป ได้แก่ “ตื่นตัวที่สุด”

อันนี้อย่าคิดลึกไปในทางเพศนะครับ ผู้เขียนมิได้เจตนาส่อไปทางนั้นแต่อย่างใด แต่ “ตื่นตัวที่สุด” นี้มอบให้กับ “การเลือกตั้งท้องถิ่น” ที่ผ่านมา รวมทั้ง “การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.” ที่กำลังจะมีขึ้น

ประเทศไทยห่างหายจากการจัดให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมานานถึง 8 ปี สืบเนื่องจากมีการทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลคงวุ่นอยู่กับการจัดการต่างๆ รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนไม่พร้อมที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นตามระบอบประชาธิปไตย แต่ในที่สุดก็ต้องลุกขึ้นมาจัดการเลือกตั้งขึ้นตามกฎหมายที่บัญญัติไว้

ผลก็คือ การตื่นตัวอย่างมากของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั้งผู้ที่ประสงค์ลงสมัครเป็นตัวแทนในระดับ อบต. และประชาชนที่กระหายจะเดินเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งให้กับคนที่เขาชื่นชอบ

วันเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่วประเทศมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน แต่ปรากฏว่าผู้คนพากันเดินทางกลับภูมิลำเนาตั้งแต่วันศุกร์ก็มี โดยเฉพาะในวันเสาร์นั้น รถราบนถนนสายหลักติดขัดอย่างมาก เหมือนกับตอนเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ หรือปีใหม่เลยทีเดียว

นั่นก็เพราะการร้างลาบรรยากาศการเลือกตั้งมานาน

และที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่จะอีกนานแค่ไหนไม่รู้คือ “การเลือกผู้ว่าฯ กทม.” ที่นายกฯ ตู่บอกว่าไม่เกินกลางปีหน้า ก็เริ่มมีการเปิดตัวผู้สมัครชิงชัยในตำแหน่งพ่อเมืองกรุงเทพมหานครกันอย่างสนุกแล้ว แม้จะยังไม่หมดก็ตาม ที่เห็นๆ ก็มี “ดร.ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ประกาศตัวมานานแล้ว และย้ำด้วยว่าสมัครอิสระนะจ๊ะ อย่าคิดมาก…ขอร้อง

และที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานคือ “พี่เอ้” ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มาในสังกัดพรรคสีฟ้าประชาธิปัตย์ ก็ทำให้สนามนี้คึกคักขึ้นมาไม่น้อย

รวมทั้ง รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. และที่ยังไม่บอกเสียทีว่าจะลงไม่ลงคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง พ่อเมืองคนปัจจุบัน ที่เหมือนจะยังตกลงกับพรรค พปชร.ไม่ได้ เสียดายที่ไม่มี “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ลงชิงชัยด้วยตามกระแสข่าว ความว่าท่านผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ยินดีที่จะอยู่ในถ้ำหมูป่าต่อไปดีกว่าจะออกมานอกถ้ำ เพื่อเป็นเบี้ยการเมืองของใคร

ปี่กลองเพิ่งเริ่ม และจะมีความเข้มข้นคึกคักตามมาอีกแน่นอน ดังนั้น ตำแหน่ง “ตื่นตัวที่สุด” แห่งปี 2564 นี้จึงตกกับ “การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น” ด้วยประการฉะนี้แล

 

เหลืออีก 2 ที่สุดครับ หนึ่งในนั้นก็คือ “อะไรกัน (วะ) ที่สุด”

เป็นเหตุการณ์ในพรรคการเมืองครับ นั่นก็คือ “กรณีขบเหลี่ยมระหว่างลุงตู่กับผู้กองธรรมนัส”

เหตุการณ์เริ่มต้นแห่งความอะไรกัน (วะ) นี้ เกิดขึ้นครั้งศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนกันยายน ที่นายกฯ ตู่ตกเป็นเป้ากระสุนตก ดังนั้น คะแนนเสียงสนับสนุนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับ “หน้าตาของการเป็นผู้นำรัฐบาล” ก่อนวันลงคะแนน แว่วว่าจะมีการหักด่านมะขามเตี้ย นำโดยเลขาธิการของพรรค ที่จะหักหลังไม่ลงคะแนนรับรองผู้เป็นนายกฯ ที่พรรคตนเคยเสนอชื่อเอง

งงไหมล่ะท่าน…มียังงี้ด้วย

และเรื่องก็กลับตาลปัตร เมื่อมีการเล่นเกมดัดหลังอีกที จน “กบฏ” ไม่เกิด แต่ที่เกิดคือ “การไม่ร่วมสังฆกรรม” กันของสองคนนี้ ชนิดที่คนหนึ่งไหว้ อีกคนยังไม่รับไหว้เลย

เมื่อทำการกบฏไม่สำเร็จก็ต้องถูกลงโทษ สิ่งที่อยู่ในอำนาจของผู้นำรัฐบาล คือ ปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ ตู่ก็เชือดทันที ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า และหมดซึ่งอำนาจหน้าที่โดยพลัน

นี่แค่แผนเอาคืนแผนแรก คือ กำจัดให้พ้นจาก ครม. แผนต่อไปคือ กำจัดให้พ้นจากพรรค ซึ่งเผอิญตนไม่มีอำนาจเพราะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค จึงรวบรวมกรรมการบริหารพรรคที่เป็นข้างตนเพื่อให้ลาออก จะได้ล้างกระดานเลือกกรรมการทั้งชุดกันใหม่

โอ้โฮ มันส์ยิ่งกว่าดูซีรีส์เกาหลีเสียอีก

แต่แผนก็มีอันล้มไป เพราะกรรมการก็ไม่ออก แถมหัวหน้าพรรคที่ชื่อบิ๊กป้อมก็ออกมาขวางลำ ปกป้องแทนเลขาฯ โดยบอกเสียงดังว่า “ถ้าไม่เอาเขา แล้วจะเอาใครมาทำงาน” แถมทิ้งทุ่นระเบิดไว้ด้วยว่า “ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกัน จะลาออก ใครอยากมาเป็นก็มาเป็นเลย”

เท่านั้นแหละ เป็นอันว่าผู้กองยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพลเอกต่อไป แต่เป็นการอยู่ร่วมกันแบบหวานอมขมกลืน ขนาดน้ำท่วมยังแข่งกันลงพื้นที่เสียนี่ โดยใช้เสียง ส.ส.ที่มาต้อนรับเป็นตัวชี้วัดพลังอำนาจ

งงไหมว่า นี่มันอะไรกัน (วะ) อยู่พรรคเดียวกันนะจ๊ะ แต่พฤติกรรมราวกับเป็นศัตรูที่อยู่พรรคตรงข้าม

และยังมีเหตุการณ์ของการขบเหลี่ยมที่ชวนให้อะไรกัน (วะ) ตามมาอีกหลายดอก เชื่อว่าปีหน้าก็จะยังคงมีเรื่องให้คนภายนอกได้อะไรกัน (วะ วะ วะ) อีกแน่นอน

ตำแหน่ง “อะไรกัน (วะ) ที่สุด” จึงตกเป็นของสองท่านด้วยประการฉะนี้แล

 

มาถึงที่สุดอันดับสุดท้าย นั่นก็คือ “วกวนอลเวงที่สุด”

ซึ่งผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ไปคือ “การเมืองไทย” นั่นเอง

สำหรับเหตุผล และที่มา คงไม่ต้องสาธยายกันมากให้เมื่อยตุ้ม เชื่อว่าทุกท่านคงเข้าใจและเห็นด้วยว่า การเมืองไทยมันช่างวกวน และอลเวง เป็นที่ยิ่ง ชนิดที่คิดชั้นเดียวสองชั้นนี่ไม่ทันเกมพวกนักการเมืองเขาแน่นอน

เอาเป็นว่า “การเมืองไทย” สมควรได้รับตำแหน่งนี้ไปครองอย่างไม่ต้องสงสัย

ครบแล้วนะครับ กับ “ที่สุดของปี 2564” ทั้ง 10 เรื่อง ที่เครื่องเคียงข้างจอขอสรุปไว้ในวาระสิ้นปีนี้ ไว้พบกันใหม่ปีหน้า

สวัสดีปีใหม่ ปี 2565 ทุกท่านนะครับ