สายด่วน-ลับ ณ นาทีวิกฤต ระหว่างนายพลจีน-มะกัน/กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

สายด่วน-ลับ ณ นาทีวิกฤต

ระหว่างนายพลจีน-มะกัน

 

เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้

แต่การเมืองระหว่างประเทศวันนี้อะไรๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดก็เกิดได้จริงๆ

สหรัฐกับจีนเป็นสองยักษ์ที่แข่งขันกันทุกด้าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความมั่นคง

แต่ทำไมนายพลอเมริกันจึงยกหูถึงนายพลจีนในขณะที่เกิดวิกฤตการเมืองในสหรัฐ เพื่อจะบอกว่า “ไม่ต้องตกใจ…ทุกอย่างในบ้านผมยังอยู่ภายใต้การควบคุม?”

คำตอบคือ นายพลมะกันคนนี้รู้ว่านายทหารที่คุมกำลังกองทัพจีนมีความกังวลอย่างยิ่งว่าผู้นำของสหรัฐอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึง

เช่น กดปุ่มนิวเคลียร์ถล่มจีนเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ตนสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินในบ้านได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือ?

ผมอ่านบทนำของหนังสือชื่อ Peril โดยนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์อย่าง Bob Woodward และ Robert Costa แล้วจึงยอมเชื่อว่าใช่

เรื่องไม่น่าเชื่ออย่างนี้เกิดขึ้นจริง

นักเขียนทั้งสองได้ข้อมูลและเอกสารรวมถึงเทปอัดเสียงที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้

คำว่า Peril แปลว่าอันตราย

ตั้งชื่อหนังสือด้วยคำคำเดียวเพื่อสะท้อนถึงความเปราะบางของสถานการณ์การเมืองในช่วงโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำและแพ้เลือกตั้งโจ ไบเดน

จนเกิดการเหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนทรัมป์ลุกเข้าตึกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคมปีนี้เพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งที่พวกเขาอ้างว่ามีการทุจริตเพื่อปล้นชัยชนะจากทรัมป์

สาวกทรัมป์เชื่อในคำปลุกเร้าของทรัมป์ที่ไม่ยอมแพ้การลือกตั้ง แม้ผลการนับคะแนนจะได้รับการยืนยันแล้วว่าไบเดนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ย้ายเข้าทำเนียบขาวได้

หลังเหตุการณ์จลาจลในตึกรัฐสภาที่กรุงวอชิงตันที่สร้างความตื่นตระหนักไปทั่วสหรัฐวันนั้นสองวัน พล.อ.มาร์ก มิลเลย์ ประธานเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าต้องทำ

นั่นคือใช้เบอร์โทรศัพท์ “ลับสุดยอด” ต่อสายไปถึงนายพลจีนที่มีตำแหน่งเทียบเท่ากับเขาในกองทัพจีน

เขาชื่อ พล.อ.หลี่ จั๊วะเฉิง (Li Zuocheng) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานเสนาธิการทหารของกองทัพจีน

 

นายพลมิลเลย์รู้ว่าผู้นำจีนทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล รวมไปถึงเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายมีความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์รุนแรงในรัฐสภาสหรัฐมาก

เพราะแม้ผู้นำจีนจะมองสหรัฐเป็นคู่แข่งและศัตรูทางด้านความมั่นคง แต่ภาพความรุนแรงในรัฐสภาสหรัฐเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวาย ไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ในประเทศอเมริกาได้ จีนก็ต้องตั้งหลักให้ดี เพราะอะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้

หนึ่งในความกังวลอย่างยิ่งของแม่ทัพนายกองจีนก็คือจะเกิดอะไรขึ้นหากโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจสร้างกระแสความนิยมให้กับตัวเองในนาทีก่อนจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้จากผลการเลือกตั้งด้วยการสร้างสถานการณ์ช็อกโลกขึ้นมา

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนอเมริกันและชาวโลกทั้งหลาย

ฉากทัศน์ที่ผู้คุมกำลังกองทัพจีนกลัวที่สุดคือ

ทรัมป์ตัดสินใจแบบ “บ้าก็บ้าวะ!” ด้วยการกดปุ่มนิวเคลียร์ถล่มจีนให้รู้แล้วรู้รอดไป!

นายพลมิลเลย์ก็อ่านใจผู้นำทหารของจีนในจังหวะนั้นพอดี

พอนายพลหลี่รับสายของนายพลมิลเลย์ คำถามก็พรั่งพรูออกมาเป็นชุด

เกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา?

มหาอำนาจอเมริกากำลังเข้าสู่ภาวะของความไร้เสถียรภาพใช่ไหม?

(ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าแม้จีนจะไม่ชอบสหรัฐมากๆ แต่ปักกิ่งก็ไม่ต้องการเห็นอเมริกาตกอยู่ในภาวะสงครามการเมืองที่ไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ได้…เพราะนั่นแปลว่าจีนจะตกเป็นเป้าของการโจมตีจากฝั่งอเมริกาโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในภาวะจลาจล ไร้ขื่อไร้แป)

นายพลจีนซักนายพลมะกันต่อว่า

บ้านเมืองคุณกำลังจะเจ๊งแล้วใช่ไหม?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

กองทัพสหรัฐจะไม่ทำอะไรบางอย่างเพื่อระงับไม่ให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่านี้หรือ?

เป็นภาษานายทหารอาชีพคนหนึ่งคุยกับนายทหารอาชีพอีกคนหนึ่ง แม้จะอยู่กันคนละค่ายก็ตาม

นายพลมิลเลย์รู้ว่าเขาต้องไม่ให้นายพลหลี่แตกตื่นเกินเหตุ

ทั้งสองคนรู้จักกันมาประมาณ 5 ปี เคยแลกเปลี่ยนวิวาทะเรื่องการทหารของสองประเทศมาแล้วไม่น้อย

“ท่านนายพลหลี่ สถานการณ์ที่วอชิงตันขณะนี้อาจจะดูเหมือนไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ แต่นี่เป็นธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย ท่านนายพลครับ เรายังมั่นคง 100% ครับ ทุกอย่างยังเรียบร้อย แต่ในระบอบประชาธิปไตยนั้น บางทีมันก็เกิดคลื่นลมแรงได้เหมือนกัน…ไม่ต้องห่วงครับ”

 

หนังสือเล่มนี้บอกว่านายพลมะกันกับนายพลจีนคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง (เนื้อหาจริงๆ ประมาณ 45 นาทีเพราะเวลาที่เหลือใช้สำหรับการแปลกลับไปมา)

วางหูเสร็จ นายพลมิลเลย์รู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาพยายามจะปลอบใจนายพลจีน

เขารู้ว่ามันเข้าสู่โหมดของความวุ่นวาย

นายพลหลี่ก็คงไม่เชื่อวลี “ไม่ต้องห่วง” ของนายพลมะกันมากนัก

น้ำเสียงตอนวางหูไปก็ยังสะท้อนถึงความห่วงกังวลไม่น้อย

นายพลมิลเลย์ตระหนักว่าสถานการณ์ในวอชิงตันอย่างนี้มีผลกระเพื่อมข้ามไปถึงประเทศจีนที่เฝ้ามองมาที่สหรัฐอย่างใจจดใจจ่อ

ปักกิ่งต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์การเมืองภายในของอเมริกาที่ไม่รู้จะออกเหนืออกใต้

นายพลมิลเลย์ยอมรับว่าความวุ่นวายในรัฐสภาที่วอชิงตันนั้นได้ส่งผลให้สหรัฐกับจีนมายืนอยู่ตรงปากเหวของความเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้าไม่นาน ฝ่ายจีนก็เริ่มสั่งการให้ทุกหน่วยรบอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมเพราะเกิดความระแวงคลางแคลงในแผนการของสหรัฐ

วันที่ 30 ตุลาคมปีที่แล้ว หรือ 4 วันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี (วันที่ 2 พฤศจิกายน) ข่าวกรองสหรัฐแจ้งว่าฝ่ายจีนมีความเชื่อว่าสหรัฐกำลังเตรียมจะแอบโจมตีตน

ทำไมจีนจึงเชื่ออย่างนั้น?

ข่าวกรองสหรัฐวิเคราะห์ว่าปักกิ่งหวั่นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเผชิญกับภาวะความกลัวจะแพ้เลือกตั้งอาจจะกำลังวางแผนที่จะสร้างสถานการณ์วิกฤตขึ้น เพื่อให้ตนเล่นบทเป็นวีรบุรุษในสถานการณ์ฉุกเฉิน

และใช้เกมสร้างสถานการณ์นั้นเพื่อก่อให้เกิดกระแสรักชาติในประเทศจนประชาชนส่วนใหญ่อาจจะลงคะแนนให้เขากลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง

 

นายพลมิลเลย์รู้ว่าแนววิเคราะห์ของจีนอย่างนั้นไม่มีมูลฐานแห่งความเป็นไปได้เลย

เขาใช้เบอร์ฉุกเฉินเดียวกันนั้นต่อสายถึงนายพลหลี่เพื่อจะบอกนายพลจีนว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอน”

นายพลมิลเลย์เชื่อว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เขาได้สั่งสมกับนายพลหลี่นั้นน่าจะทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือ

เขาเชื่อว่านายพลหลี่จะนำความนั้นไปรายงานกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้นำจีนจนต้องเตรียมแผนตอบโต้สหรัฐหากมีเกิดการโจมตีขึ้นจริงๆ

แต่ห่างกันเพียงสองเดือน…วันนั้น 6 มกราคมปีนี้ การบุกตึกรัฐสภาสหรัฐโดยผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างบ้าคลั่งนั้นทำให้ผู้นำจีนลุกขึ้นมาถามว่า

ตกลงเกิดอะไรที่วอชิงตันกันแน่?

นายพลมิลเลย์เคยบอกกับบรรดาแม่ทัพนายกองของตนเองว่า

“เราไม่เข้าใจจีน และจีนก็ไม่เข้าใจเรา…”

นั่นก็อันตรายมากพอแล้ว แต่เรื่องจริงยังมีอะไรมากกว่านั้น…

(สัปดาห์หน้า : ในทำเนียบขาวใครมีสิทธิ์คุมปุ่มนิวเคลียร์?)