ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
สายด่วน-ลับ ณ นาทีวิกฤต
ระหว่างนายพลจีน-มะกัน
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้
แต่การเมืองระหว่างประเทศวันนี้อะไรๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดก็เกิดได้จริงๆ
สหรัฐกับจีนเป็นสองยักษ์ที่แข่งขันกันทุกด้าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความมั่นคง
แต่ทำไมนายพลอเมริกันจึงยกหูถึงนายพลจีนในขณะที่เกิดวิกฤตการเมืองในสหรัฐ เพื่อจะบอกว่า “ไม่ต้องตกใจ…ทุกอย่างในบ้านผมยังอยู่ภายใต้การควบคุม?”
คำตอบคือ นายพลมะกันคนนี้รู้ว่านายทหารที่คุมกำลังกองทัพจีนมีความกังวลอย่างยิ่งว่าผู้นำของสหรัฐอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึง
เช่น กดปุ่มนิวเคลียร์ถล่มจีนเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ตนสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินในบ้านได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือ?
ผมอ่านบทนำของหนังสือชื่อ Peril โดยนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์อย่าง Bob Woodward และ Robert Costa แล้วจึงยอมเชื่อว่าใช่
เรื่องไม่น่าเชื่ออย่างนี้เกิดขึ้นจริง
นักเขียนทั้งสองได้ข้อมูลและเอกสารรวมถึงเทปอัดเสียงที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้
คำว่า Peril แปลว่าอันตราย
ตั้งชื่อหนังสือด้วยคำคำเดียวเพื่อสะท้อนถึงความเปราะบางของสถานการณ์การเมืองในช่วงโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำและแพ้เลือกตั้งโจ ไบเดน
จนเกิดการเหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนทรัมป์ลุกเข้าตึกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคมปีนี้เพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งที่พวกเขาอ้างว่ามีการทุจริตเพื่อปล้นชัยชนะจากทรัมป์
สาวกทรัมป์เชื่อในคำปลุกเร้าของทรัมป์ที่ไม่ยอมแพ้การลือกตั้ง แม้ผลการนับคะแนนจะได้รับการยืนยันแล้วว่าไบเดนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ย้ายเข้าทำเนียบขาวได้
หลังเหตุการณ์จลาจลในตึกรัฐสภาที่กรุงวอชิงตันที่สร้างความตื่นตระหนักไปทั่วสหรัฐวันนั้นสองวัน พล.อ.มาร์ก มิลเลย์ ประธานเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าต้องทำ
นั่นคือใช้เบอร์โทรศัพท์ “ลับสุดยอด” ต่อสายไปถึงนายพลจีนที่มีตำแหน่งเทียบเท่ากับเขาในกองทัพจีน
เขาชื่อ พล.อ.หลี่ จั๊วะเฉิง (Li Zuocheng) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานเสนาธิการทหารของกองทัพจีน
นายพลมิลเลย์รู้ว่าผู้นำจีนทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล รวมไปถึงเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายมีความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์รุนแรงในรัฐสภาสหรัฐมาก
เพราะแม้ผู้นำจีนจะมองสหรัฐเป็นคู่แข่งและศัตรูทางด้านความมั่นคง แต่ภาพความรุนแรงในรัฐสภาสหรัฐเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวาย ไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ในประเทศอเมริกาได้ จีนก็ต้องตั้งหลักให้ดี เพราะอะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้
หนึ่งในความกังวลอย่างยิ่งของแม่ทัพนายกองจีนก็คือจะเกิดอะไรขึ้นหากโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจสร้างกระแสความนิยมให้กับตัวเองในนาทีก่อนจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้จากผลการเลือกตั้งด้วยการสร้างสถานการณ์ช็อกโลกขึ้นมา
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนอเมริกันและชาวโลกทั้งหลาย
ฉากทัศน์ที่ผู้คุมกำลังกองทัพจีนกลัวที่สุดคือ
ทรัมป์ตัดสินใจแบบ “บ้าก็บ้าวะ!” ด้วยการกดปุ่มนิวเคลียร์ถล่มจีนให้รู้แล้วรู้รอดไป!
นายพลมิลเลย์ก็อ่านใจผู้นำทหารของจีนในจังหวะนั้นพอดี
พอนายพลหลี่รับสายของนายพลมิลเลย์ คำถามก็พรั่งพรูออกมาเป็นชุด
เกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา?
มหาอำนาจอเมริกากำลังเข้าสู่ภาวะของความไร้เสถียรภาพใช่ไหม?
(ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าแม้จีนจะไม่ชอบสหรัฐมากๆ แต่ปักกิ่งก็ไม่ต้องการเห็นอเมริกาตกอยู่ในภาวะสงครามการเมืองที่ไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ได้…เพราะนั่นแปลว่าจีนจะตกเป็นเป้าของการโจมตีจากฝั่งอเมริกาโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในภาวะจลาจล ไร้ขื่อไร้แป)
นายพลจีนซักนายพลมะกันต่อว่า
บ้านเมืองคุณกำลังจะเจ๊งแล้วใช่ไหม?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
กองทัพสหรัฐจะไม่ทำอะไรบางอย่างเพื่อระงับไม่ให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่านี้หรือ?
เป็นภาษานายทหารอาชีพคนหนึ่งคุยกับนายทหารอาชีพอีกคนหนึ่ง แม้จะอยู่กันคนละค่ายก็ตาม
นายพลมิลเลย์รู้ว่าเขาต้องไม่ให้นายพลหลี่แตกตื่นเกินเหตุ
ทั้งสองคนรู้จักกันมาประมาณ 5 ปี เคยแลกเปลี่ยนวิวาทะเรื่องการทหารของสองประเทศมาแล้วไม่น้อย
“ท่านนายพลหลี่ สถานการณ์ที่วอชิงตันขณะนี้อาจจะดูเหมือนไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ แต่นี่เป็นธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย ท่านนายพลครับ เรายังมั่นคง 100% ครับ ทุกอย่างยังเรียบร้อย แต่ในระบอบประชาธิปไตยนั้น บางทีมันก็เกิดคลื่นลมแรงได้เหมือนกัน…ไม่ต้องห่วงครับ”
หนังสือเล่มนี้บอกว่านายพลมะกันกับนายพลจีนคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง (เนื้อหาจริงๆ ประมาณ 45 นาทีเพราะเวลาที่เหลือใช้สำหรับการแปลกลับไปมา)
วางหูเสร็จ นายพลมิลเลย์รู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาพยายามจะปลอบใจนายพลจีน
เขารู้ว่ามันเข้าสู่โหมดของความวุ่นวาย
นายพลหลี่ก็คงไม่เชื่อวลี “ไม่ต้องห่วง” ของนายพลมะกันมากนัก
น้ำเสียงตอนวางหูไปก็ยังสะท้อนถึงความห่วงกังวลไม่น้อย
นายพลมิลเลย์ตระหนักว่าสถานการณ์ในวอชิงตันอย่างนี้มีผลกระเพื่อมข้ามไปถึงประเทศจีนที่เฝ้ามองมาที่สหรัฐอย่างใจจดใจจ่อ
ปักกิ่งต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์การเมืองภายในของอเมริกาที่ไม่รู้จะออกเหนืออกใต้
นายพลมิลเลย์ยอมรับว่าความวุ่นวายในรัฐสภาที่วอชิงตันนั้นได้ส่งผลให้สหรัฐกับจีนมายืนอยู่ตรงปากเหวของความเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้าไม่นาน ฝ่ายจีนก็เริ่มสั่งการให้ทุกหน่วยรบอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมเพราะเกิดความระแวงคลางแคลงในแผนการของสหรัฐ
วันที่ 30 ตุลาคมปีที่แล้ว หรือ 4 วันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี (วันที่ 2 พฤศจิกายน) ข่าวกรองสหรัฐแจ้งว่าฝ่ายจีนมีความเชื่อว่าสหรัฐกำลังเตรียมจะแอบโจมตีตน
ทำไมจีนจึงเชื่ออย่างนั้น?
ข่าวกรองสหรัฐวิเคราะห์ว่าปักกิ่งหวั่นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเผชิญกับภาวะความกลัวจะแพ้เลือกตั้งอาจจะกำลังวางแผนที่จะสร้างสถานการณ์วิกฤตขึ้น เพื่อให้ตนเล่นบทเป็นวีรบุรุษในสถานการณ์ฉุกเฉิน
และใช้เกมสร้างสถานการณ์นั้นเพื่อก่อให้เกิดกระแสรักชาติในประเทศจนประชาชนส่วนใหญ่อาจจะลงคะแนนให้เขากลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง
นายพลมิลเลย์รู้ว่าแนววิเคราะห์ของจีนอย่างนั้นไม่มีมูลฐานแห่งความเป็นไปได้เลย
เขาใช้เบอร์ฉุกเฉินเดียวกันนั้นต่อสายถึงนายพลหลี่เพื่อจะบอกนายพลจีนว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอน”
นายพลมิลเลย์เชื่อว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เขาได้สั่งสมกับนายพลหลี่นั้นน่าจะทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือ
เขาเชื่อว่านายพลหลี่จะนำความนั้นไปรายงานกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้นำจีนจนต้องเตรียมแผนตอบโต้สหรัฐหากมีเกิดการโจมตีขึ้นจริงๆ
แต่ห่างกันเพียงสองเดือน…วันนั้น 6 มกราคมปีนี้ การบุกตึกรัฐสภาสหรัฐโดยผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างบ้าคลั่งนั้นทำให้ผู้นำจีนลุกขึ้นมาถามว่า
ตกลงเกิดอะไรที่วอชิงตันกันแน่?
นายพลมิลเลย์เคยบอกกับบรรดาแม่ทัพนายกองของตนเองว่า
“เราไม่เข้าใจจีน และจีนก็ไม่เข้าใจเรา…”
นั่นก็อันตรายมากพอแล้ว แต่เรื่องจริงยังมีอะไรมากกว่านั้น…
(สัปดาห์หน้า : ในทำเนียบขาวใครมีสิทธิ์คุมปุ่มนิวเคลียร์?)