แต่งหน้าบนเมตาเวิร์ส/Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin
Woman with smart glasses futuristic technology

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

แต่งหน้าบนเมตาเวิร์ส

 

ตั้งแต่เมตาเวิร์สเข้าสู่กระแสหลัก ทุกวงการก็พยายามกระโดดจับเทรนด์นี้กันชนิดที่ไม่มีใครยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยจะเห็นได้ว่าเมตาเวิร์สฮอตหนักๆ ในแวดวงวิดีโอเกมและแฟชั่น

แต่ล่าสุดวงการเครื่องสำอางก็กระโดดมาร่วมวงกับเขาแล้วด้วยเหมือนกัน

ตลอดสองปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเทรนด์การแต่งหน้าและเครื่องสำอางเปลี่ยนรูปแบบไปโดยมีปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือการแพร่ระบาดของไวรัส คนเริ่มเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแต่งหน้าแบบจัดเต็มเพราะนอกจากจะไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านแล้ว เวลาออกไปแต่ละครั้งก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย เมกอัพที่โผล่ลอดหน้ากากมาให้เห็นได้ก็มีแค่ครึ่งบนเท่านั้น

ส่วนครึ่งล่างอย่างการทาลิปสติกสีสวยออกจากบ้านก็ดูจะสิ้นเปลืองเปล่าๆ เพราะคนอื่นๆ ไม่มีใครได้เห็น

ประกอบกับการแต่งหน้าแล้วใส่หน้ากากทับลงไปก็ไม่ใช่เรื่องสนุกเหมือนกัน เมกอัพและเหงื่อที่ปะปนกันชื้นๆ อับๆ อยู่ใต้หน้ากากก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ maskne ที่จับเอาคำว่า mask มารวมกับคำว่า acne หรือสิว ส่งผลให้หมอผิวหนังทั่วโลกรวยขึ้นกว่าเก่า

ฉันเริ่มเห็นบางคนโดยเฉพาะคนหน้าจอหาทางออกด้วยการแต่งหน้าครึ่งบนอย่างเดียว ทั้งประหยัดเวลา ประหยัดเครื่องสำอาง และลดโอกาสการมีปัญหาเรื่องผิวหนังไปได้

เทรนด์การแต่งหน้าในช่วงปีที่ผ่านมาก็เลยกลายเป็นการแต่งหน้าแบบมินิมอล บางเบา เน้นลุคธรรมชาติเป็นหลัก

 

ถึงแม้เทรนด์การแต่งหน้าในโลกความเป็นจริงจะเปลี่ยนไป แต่ความอยากสวย อยากหล่อ อยากดูดี ก็ไม่ได้หายไปไหน และถ้าจะมีที่ลงให้เราสามารถปลดปล่อยความต้องการนั้นได้ก็คงจะไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าบนเมตาเวิร์สอีกแล้ว

คนที่เล่นเกมบ่อยๆ จะเข้าใจดีว่าการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่งหน้าทาปากให้กับอวตารในโลกเสมือนของเรามันก็ให้ความรู้สึกฟินได้ไม่แพ้การแต่งตัวเราเองให้สวยในโลกแห่งความเป็นจริงเลย

ทุกวันนี้ฉันก็ยังเปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนการแต่งตัว ให้อวตารในเกม Animal Crossing อยู่เรื่อยๆ ถึงจะไม่ได้ออกจากเกาะไปเยี่ยมเยียนผู้เล่นคนอื่นๆ แต่การได้เห็นตัวละครที่เราบังคับเดินไปเดินมามีหน้าตาน่ารัก แต่งตัวทันสมัย ก็ทำให้มีความสุขไปได้แล้ว

เพราะเข้าใจความต้องการมีอวตารที่สวยถูกใจนี่แหละ ก็ทำให้แบรนด์เครื่องสำอางหลายแบรนด์จับมือกับเกมอย่าง Animal Crossing และเอาเครื่องสำอางตัวเองเข้าไปอยู่ในเกม อย่าง Givenchy ที่เคลมว่าตัวเองเป็นแบรนด์หรูแบรนด์แรกที่นำเครื่องสำอางไปอยู่ในเกมนี้

ก็ขนทั้งแป้ง ทั้งลิปสติก ทั้งอายไลเนอร์ ไปให้ผู้เล่นดาวน์โหลดมาแต่งเติมหน้าอวตารของตัวเองกันได้ตามใจชอบ

ฉันคิดว่าบางครั้งการแต่งตัวให้อวตารของเราในแบบที่เราไม่มีทางจะได้แต่งในชีวิตจริงก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกปลดปล่อยได้เหมือนกัน

บางคนก็เลือกวิธีนี้ในการที่จะแสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่ซ่อนอยู่ลึกๆ หรือจะใช้เพื่อฝึกทักษะ ลับฝีมือการแต่งองค์ทรงเครื่อง

หรือใช้เพื่อทดลองลุคใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้วปรับให้เวิร์กที่สุดก่อนที่จะนำลุคนั้นไปใช้ในชีวิตจริงบ้าง

ใครที่อึดอัดกับการแต่งหน้าแล้วต้องใส่หน้ากากปิดทับ (ฉันนี่แหละคนหนึ่ง!) ก็อาจจะหันมาลองแต่งหน้าในเกมแทน แล้วจะเดินเฉิดฉายในเกมแบบไม่ใส่หน้ากากก็ไม่มีใครว่า

แต่ถ้าอยากเอาโลกแห่งความเป็นจริงมาอยู่ในเกมบ้าง หลายๆ เกมก็มีตัวเลือกของการใส่หน้ากากให้แคแร็กเตอร์ด้วยเหมือนกัน

Woman with smart glasses futuristic technology

ช่วงที่ไวรัสเริ่มระบาดใหม่ๆ แบรนด์เครื่องสำอางต้องปรับตัวกันอย่างรวดเร็ว เพราะนอกจากจะเคาน์เตอร์หรือจุดขายต่างๆ จะต้องถูกสั่งปิดชั่วคราวแล้ว คนก็ยังลดความต้องการในการช้อปปิ้งเครื่องสำอางลง หรือหากอยากซื้อขึ้นมา การไปลองเครื่องสำอางก็ทำไม่ได้ แบรนด์เครื่องสำอางก็เลยแก้เกมด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่าง Augmented Reality มาช่วยให้ลูกค้าสามารถลองซ้อนเครื่องสำอางต่างๆ ที่กำลังสนใจลงบนใบหน้าของตัวเองได้ และมีปุ่มพร้อมให้กดสั่งซื้อออนไลน์ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ฉันมองว่าการกระโดดเข้าไปในโลกเมตาเวิร์ส ผลลัพธ์หลักๆ ที่คาดหวังได้อาจจะแค่ไม่ใช่การเชิญชวนให้ผู้เล่นกดสั่งซื้อเครื่องสำอางมาใช้ในชีวิตจริงเท่านั้น

แต่น่าจะสามารถต่อยอดให้เกิดเป็นการจับจ่ายสำหรับแคแร็กเตอร์ในเกมนั้นๆ ได้โดยเฉพาะ หากบางแบรนด์นำสินค้าในรูปแบบ NFT มาขายด้วยก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความพิเศษให้กับสินค้าเสมือนจริงของตัวเองเข้าไปอีก

อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่เหมือนใคร หรือให้ศิลปินหยิบเครื่องสำอางของแบรนด์นั้นๆ มาเป็นแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์ออกมาเป็นสินทรัพย์งานศิลปะที่ถือครองได้แบบเสมือนจริง

อีกหนึ่งรูปแบบที่แบรนด์เครื่องสำอางสามารถใช้ประโยชน์จากเมตาเวิร์สได้ก็น่าจะเป็นการไลฟ์ขายของที่กำลังบูมขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชียเรานี่แหละ

การไลฟ์ขายของที่เรียกเสียงฮือฮามาแล้วทั่วโลกก็คือการไลฟ์ของ Li Jiaqi ชายชาวจีนที่ได้รับฉายาว่า ‘ราชาแห่งลิปสติก’

เพราะเขาไลฟ์เพียงแค่วันเดียวก็สามารถขายเครื่องสำอางได้เป็นมูลค่าเกือบสองพันล้านดอลลาร์ไปแล้ว

หนึ่งในจุดขายของเขาก็คือการที่เขาไม่ได้แค่ลองทาลิปสติกที่แขนเหมือนที่นักขายหรือนักรีวิวทั่วไปทำเวลาลองเครื่องสำอาง

แต่เขาจะทาลิปสติกลงบนริมฝีปากของตัวเองเลยจริงๆ เพื่อให้ผู้ชมเห็นภาพให้ได้มากที่สุด

เมื่อผู้ชมดูการไลฟ์แล้วรู้สึกว่าเข้าถึงคนที่กำลังนำเสนอได้ราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันจริงๆ ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้อยากซื้อของที่เพื่อนคนนั้นกำลังแนะนำอยู่มากขึ้น

แล้วลองนึกภาพว่าแทนที่เราจะนั่งดู Li Jiaqi ผ่านทางหน้าจอเฉยๆ เราสามารถเข้าไปเจอกับเขาได้ในเมตาเวิร์สโดยมีอวตารของเรากำลังนั่งดูเขาลองลิปสติกจริงๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็อาจจะยื่นลิปสติกมาให้เราลองทาที่ริมฝีปากอวตารของเราเองดูบ้าง มันคงเป็นความรู้สึกที่ฟินสุดๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามูลค่าการขายเครื่องสำอางออนไลน์จะพุ่งทะยานขึ้นแค่ไหน

หรือลองคิดภาพให้ใกล้กับบริบทบ้านเรามากขึ้นก็อาจจะลองเปลี่ยน Li Jiaqi ไปเป็นพิมรี่พายแทน ผู้ชมไลฟ์อย่างเราจะได้เข้าไปอยู่ในโลเกชั่นแวร์เฮาส์ขนาดใหญ่ของพิมรี่พายพร้อมสัมผัสความอลังการของชุดคอสตูมปีกขนนกเดรสแดงกากเพชรระยิบระยับและทีมแดนซ์หางเครื่องอย่างใกล้ชิดพร้อมๆ กับคนอีก 4-5 หมื่นคนที่กำลังดูไลฟ์อยู่ในเวลาเดียวกันได้แบบไม่ต้องกลัวโควิด

นี่เป็นสิ่งที่ฉันพอจะจินตนาการออก แต่พอมาถึงจริงๆ อาจจะมีท่าทางการขายเมกอัพบนเมตาเวิร์สแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนก็ได้

ถึงเวลานั้นก็กำเงินในกระเป๋าให้แน่นๆ เพราะมันอาจโบยบินออกไปได้รวดเร็วแบบไม่รู้ตัว