ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต/สุดมันส์กับ ‘เปอโยต์ 3008’ เอสยูวีอารมณ์สปอร์ต-ขับสนุก

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

สุดมันส์กับ ‘เปอโยต์ 3008’

เอสยูวีอารมณ์สปอร์ต-ขับสนุก

 

“สุดมันส์ส์ส์ส์…”

ความรู้สึกของผมหลังจากลองควบ “เปอโยต์ 3008” ไมเนอร์เชนจ์

ย้ำอีกทีว่าอารมณ์ ความรู้สึก ทั้งสนุก และเมามันส์จริงๆ

จริงๆ แล้วหากไม่บอกว่าเป็นรุ่นปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ คนที่เห็นหน้าตาครั้งแรกต้องคิดว่าเป็นรุ่นโมเดลเชนจ์แน่นอน เพราะเปลี่ยนไปชนิดจำเค้าเดิมไม่ได้

ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ นอกจากรูปร่างหน้าตาจะดูดีขึ้นแล้ว ยังเพิ่มบางออปชั่นเข้ามา แต่กลับหั่นราคาลงจากรุ่นเดิมไปอีก 30,000 บาท

เรียกว่างานนี้กะมาฟัดกับเจ้าตลาดเอสยูวีขนาดกลาง ในเมืองไทยโดยตรง

ต้องขอบคุณ “เปอโยต์ ประเทศไทย” ที่ส่งรถรุ่นนี้มาให้ทดสอบเสียหลายวัน

งานนี้ไม่มีตัวเลือกครับเพราะเปิดขายแค่รุ่นท็อปรุ่นเดียว จากเดิมมี 2 รุ่นให้เลือก

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยอดขายที่ออกมาลูกค้าส่วนใหญ่เลือกรุ่นท็อป เพราะคุ้มราคาค่าตัวมากกว่า ทำให้เมื่อปรับโฉม เปอโยต์จึงหั่นเหลือเพียงรุ่นเดียว

 

ก่อนที่จะเข้าโหมดทดสอบ เรามาดูหน้าตากันแบบคร่าวๆ ก่อน

ภายนอกออกแบบได้ดูดุ กระจังหน้าแบบไร้กรอบ (frameless grille) ออกแบบดูมีมิติมากขึ้น พร้อมสัญลักษณ์สิงห์ยืน 2 ขา

ไฟหน้าแบบฟูลแอลอีดีทำงานเป็นไฟตัดหมอกในตัว (Foggy Mode) พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และปรับไฟสูงอัตโนมัติ และระบบ “ฟอลโล่ มี โฮม” หรือไฟจะส่องสว่างอีกสักพักหลังดับเครื่อง

เดย์ไทม์รันนิ่งไลต์ เป็นเส้นแนวตั้งด้านข้าง ได้แรงบันดาลใจมาจากเขี้ยวสิงโต

ช่องดักลมสีดำบนกันชนหน้า ขณะที่ปลายฝากระโปรงหน้า ติดตั้งตัวนูน “3008”

กระจกมองข้างคาดแถบโครเมียมดูหรูหรา รับกับกันกระแทกข้างรถ

มือเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ ราวหลังคาสีโครเมียมเช่นกัน

ไฟท้ายแบบฟูลแอลอีดี (รวมไฟถอยหลังในตัว) สะท้อนกรงเล็บสิงโต (lion claws) พร้อมไฟเลี้ยวแบบไล่ระดับ ครอบแผงไฟท้ายทั้งหมดด้วยกระจกรมดำยาวจรดตัวถัง 2 ฝั่ง

กันชนหลังขนาดใหญ่ ต่ำลงมาเป็นท่อไอเสียคู่แบบทรงเหลี่ยม

ประตูท้ายเปิดด้วยระบบไฟฟ้า หรือใช้คิกส์เซ็นเซอร์ โดยเตะเท้าเข้าใต้ท้องรถเปิด-ปิดประตูท้ายได้

ล้อแม็กขอบ 18 นิ้ว

มีไฟตัดหมอกหลังมาให้ด้วยเมื่อเปิดใช้ ไฟหน้าจะติดอัตโนมัติด้วยระดับความเข้มของแสงที่ต่ำกว่าปกติ

 

ภายในใช้สีทูโทนดำ-เบจ ด้านบนจะเป็นสีเบจ ตัดกับเบาะและคอนโซลสีดำ

พวงมาลัยทรงหัวตัดและท้ายตัดแปลกตามากๆ ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ที่คอพวงมาลัยติดตั้งปุ่มเปลี่ยนเกียร์ หรือแพดเดิลชิพ แต่เป็นลักษณะติดแน่นกับคอเกียร์ ไม่ได้หมุนตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัยแบบที่รถส่วนใหญ่นิยมกัน

มาตรวัดดิจิตอลอเนกประสงค์ขนาด 12.3 นิ้ว ปรับหน้าจอได้หลากหลายรูปแบบ เรียกว่าแปลกตาไม่เบื่อกันเลย

ตรงกลางเป็นหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว รองรับการสั่งงานด้วยเสียง

ต่ำลงมาเป็นสวิตช์แบบก้านเปียโน (Piano Key Toggle Switches) ควบคุมการสั่งงานต่างๆ ผ่านหน้าจอ เช่น ระบบนำทาง, โทรศัพท์

คันเกียร์ทรงสวยขนาดกระชับมือ มีโหมดแมน่วลมาให้ด้วยเป็นปุ่มด้านหลังคันเกียร์ ถัดลงมาจากคันเกียร์เป็นปุ่มโหมดสปอร์ต

ขยับไปทางซ้ายมีปุ่มขนาดใหญ่ใช้หมุนไปมา เพื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ตามสภาพถนน

มีเบรกมือไฟฟ้า และปุ่มสตาร์ต/สต๊อปอยู่บริเวณคอนโซลเกียร์ด้วย

ลึกเข้าไปด้านในมีช่องเสียบยูเอสบี และเพาเวอร์ เอาต์เล็ต

ออปชั่นที่เพิ่มเข้ามาคือชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย (wireless charging)

เบาะนั่งหนังเย็บตะเข็บสีตัดกัน ปรับด้วยไฟฟ้า คอนโซลหน้า-กลาง และแผงข้างประตูตกแต่งได้หรูหราเป็บแบบนุ่ม ตัดด้วยขอบสีเงินกรุด้วยผ้าเดนิม

พร้อมเจาะช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงมีไฟอ่านหนังสือให้ด้วย

กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ไฟส่องแผนที่แบบแอลอีดี แผงบังแดดมีกระจกเงาขนาดใหญ่พร้อมไฟมาให้ทั้ง 2 ด้าน

หลังคาเป็นซันรูฟขนาดใหญ่ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า

 

พร้อมไปกันล่ะครับ สัมผัสแรกที่ก้นและหลังสัมผัสเบาะต้องบอกว่าสบายและกระชับมากๆ

พวงมาลัยเมื่อเข้ามานั่งแล้วดูเล็กๆ ดี แต่สัมผัสได้กระชับ หลังจากปรับให้เข้ากับสรีระของผมแล้ว เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงตัดด้านบนด้วย เพราะเห็นมาตรวัดได้ชัดแจ่มจริงๆ

กดปุ่มสตาร์ต เสียงเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร แบบทวินสกรอลล์เทอร์โบ กำลังสูงสุด 167 แรงม้า แรงบิด 245 นิวตัน-เมตร ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แบบ Electric Impulse พร้อม Advanced Grip Control

คันเกียร์ดูหรูหราสัมผัสดีทีเดียว โดยเฉพาะผมมีนิสัยชอบขยับมือลงมาจับคันเกียร์บ่อยๆ ระหว่างขับ ซึ่งติดมาจากสมัยขับรถเกียร์กระปุกหรือเกียร์ธรรมดา จึงชื่นชอบเป็นพิเศษ

อัตราเร่งทุกย่านความเร็วจี๊ดจ๊าดสุดๆ

ช่วงออกตัวพุ่งวาบทันใจ ยิ่งความเร็วกลางไหลไปปลายเพลิดเพลินจริงๆ เพราะกดเท่าไหร่มาเท่านั้น

พวงมาลัยคมกริบ ผ่อนแรงได้ดีมากๆ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการเซ็ตมาให้ง่ายต่อการควบคุม เนื่องจากพวงมาลัยวงค่อนข้างเล็กนั่นเอง

ระยะฟรีพวงมาลัยมีน้อยถึงน้อยมาก

ช่วงล่างหนึบแน่นได้ใจมากๆ การกระชากเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งทำได้เฟิร์มสุดๆ

อย่างไรก็ตาม ด้วยความยาวของตัวรถ การสาดโค้งแรงเกินไป ด้านหลังอาจมีเหวี่ยงกันบ้าง

การเก็บเสียงทำได้ดี เช่นเดียวกับทัศนวิสัยโดยรอบมองโปร่ง โล่ง

 

โหมดการขับขี่แทบไม่ได้เปลี่ยนเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นโหมดที่เหมาะกับแถบยุโรปมากกว่า (Normal-Snow-Mud-Sand-ESP Off)

ที่ลองใช้อยู่เป็นโหมดสปอร์ต โดยกดปุ่มใกล้ๆ คอนโซลเกียร์ อัตราเร่งจะกระชับมากขึ้น แต่แลกมาด้วยแรงกระชากนิดๆ หากขับคนเดียวพอได้อยู่ แต่ถ้ามีผู้โดยสารด้วยอาจไม่ค่อยเหมาะ

แต่จะว่าไปโหมดปกติก็เหลือเฟือแล้ว ถ้าต้องการอัตราเร่งกะทันหัน หรือเชนจ์เกียร์ทำได้ที่แพดเดิลชิพ หรือเปลี่ยนเกียร์เป็นระบบแมน่วลจะทำได้นุ่มนวลกว่า

ตัวช่วยต่างๆ มีมาให้พอประมาณ อาทิ ระบบเตือนเมื่อรถวิ่งออกนอกเลน, ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา, เซ็นเซอร์ถอยจอดพร้อมระบบเตือนวัตถุในมุมอับสายตา

ควบคุมความเร็วขณะลงทางชันอัตโนมัติ (Hill Descent Control), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ฯลฯ

แต่ถือว่าไม่เยอะมากหากเทียบกับคู่แข่งในตลาด

ปุ่มปรับต่างๆ ใช้งานง่ายโดยเฉพาะการมีปุ่มควบคุมแยกออกมาแบบเปียโน สะดวกต่อการใช้มากกว่าจะปรับที่หน้าจอ

การตั้งค่าการทำงานต่างๆ ของรถมีให้อย่างละเอียด

ส่วนที่นั่งหลังผมลองเข้าไปสัมผัสดูนั่งสบายทีเดียว ทั้งเฮดรูม-เลครูม มีมาให้เหลือๆ

การเก็บงาน การประกอบทำได้เนี้ยบแม้จะเป็นรถที่นำเข้าจากมาเลเซีย แต่ควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานฝรั่งเศส

สำหรับคนที่ชอบขับรถสนุกๆ ชื่นชอบความหนักแน่นของช่วงล่าง พวงมาลัยคมๆ

“เปอโยต์ 3008” ตอบโจทย์สุดๆ กับราคา 1,689,000 บาท