รักเธอประเทศไทย/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

รักเธอประเทศไทย

 

เราจะเริ่มต้นนับ “จุดเปลี่ยน” ประเทศไทยที่ตรงเลขไหนกันดี

2475 หรือ 2516 หรือ 2535 หรือ 2540

หรือว่า 2490 หรือ 2501 หรือ 2519 หรือ 2534 หรือ 2549 หรือ 2557

ในแต่ละปี พ.ศ.ที่กล่าวมาล้วนแสดงถึงความหมาย ความพยายามที่จะเปลี่ยนประเทศไทย

แต่ยังมีอีก “บางมุม” ที่เห็นว่า “จุดเปลี่ยนสำคัญ” คือวันที่ประเทศไทยประกาศยืนอยู่ฝั่ง “สัมพันธมิตร” ในฐานะผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2

ต่างกับญี่ปุ่นซึ่งเป็น “ผู้แพ้” ที่ต้องจำยอมอยู่ภายใต้การปกครอง การควบคุมและการกำกับของ “พล.อ.ดักลาส แมกอาร์เธอร์” จากสหรัฐอเมริกา

กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศของญี่ปุ่นจึงถูกสั่งยุบหมดสิ้น อเมริกาเขียนรัฐธรรมนูญให้ญี่ปุ่นกระจายอำนาจ ปกครองด้วย “ระบอบประชาธิปไตย” มีจักรพรรดิเป็นประมุข

ญี่ปุ่นเปลี่ยนประเทศจากหมกมุ่นลัทธิทหารสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม

ส่วนไทยที่กลายเป็นฝ่ายเดียวกับผู้ชนะยังคงมีอยู่ครบ!

หรือว่า “ขบวนการเสรีไทย” เป็นจุดเปลี่ยน?

 

ไทยไม่มีการสงครามกับภายนอก จะมีก็แต่การเคลื่อนพล เคลื่อนรถถัง เปิดคลังอาวุธขนย้ายออกมาก่อ “รัฐประหาร” เท่านั้น และสามารถกล่าวได้ว่า กว่า 70 ปีมานี้ไม่มีรัฐประหารครั้งใดเลยที่มุ่งหมายจะ “เปลี่ยน” ประเทศไทยไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างแท้จริง

“รัฐประหาร” เป็นเพียง “ข้ออ้าง” ในการเคลื่อนกำลังทหารและใช้อาวุธสงครามโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

การเมืองการปกครองและการทหารของไทยจึงย่ำอยู่กับที่ กระทั่งในปี พ.ศ.2549 ซึ่งห่างหายไปนาน 15 ปี ก็ยังมีรัฐประหารโดยอ้างว่าเพื่อขจัด “ระบอบทักษิณ”

ทุกสิ่งที่ทักษิณคิดทักษิณทำถูกตีความให้ผิด ใช้ทุกวิธีทำลายคล้ายกับว่าพลันที่ระบอบทักษิณสูญสิ้นประเทศไทยจะเปลี่ยน

เริ่มตั้งแต่เชิดชูวีรกรรม “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” จากนั้นก็เข้าตามสูตรเดิมทั้งหมดคือ เขียนกติกากันใหม่ แล้วเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” พอมั่นใจว่า พรรคการเมืองที่เป็นนอมินีได้เปรียบก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ลวงโลกภายนอกว่าประเทศเป็นประชาธิปไตย

แต่แม้ไม่มีทักษิณ ฝ่ายนิยมรัฐประหารก็แพ้เลือกตั้งอีกตามเคย

ตั้งแต่ พ.ศ.2550 เป็นต้นมาไทยตกอยู่ในทศวรรษที่สูญหาย!

 

ฝ่ายนิยมรัฐประหารว่า “19 กันยายน 2549” คือความสูญเปล่าเพราะหลังเลือกตั้ง เมื่อฝ่ายหนึ่งชนะเลือกตั้ง อีกฝ่ายหนึ่งก็จัดทัพมวลชนมาชุมนุมขับไล่ ต่อมาพอฝ่ายหนึ่งได้จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร อีกฝ่ายก็ระดมมวลชนมาชุมนุมขับไล่เอาคืน

จนเกิดการก่ออาชญากรรมทางการเมืองในระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่เรียกกันว่า “คดี 99 ศพ”

รัฐบาลอภิสิทธิ์ยื้อไม่ไหวตัดสินใจยุบสภา ให้เลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 คราวนี้เกิดปรากฏการณ์ “49 วัน”

ผีทักษิณยังแรงมาก!

แม้ “พรรคไทยรักไทย” จะถูกยุบไปแล้วกลายเป็น “พรรคพลังประชาชน” ซ้ำยังถูกยุบอีกครั้ง แต่เมื่อเปลี่ยนโฉมเป็น “เพื่อไทย” และมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนารีขี่ม้าขาว นักการเมืองหน้าใหม่ หน้าใสๆ ใช้เวลาเพียง 49 วันเท่านั้นก็กลายเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก” ของประเทศไทยที่มาจากการเลือกตั้ง

เหยื่ออธรรมยังไม่ได้รับการชำระ!

คาดกันว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะ “ทวงคืน” ความยุติธรรม จากคนที่สั่งและคนที่ใช้ “กระสุนจริง” ยิงผู้ชุมนุมเมื่อปี 2553

นั่นทำให้ระบบยุติธรรมเริ่มปั่นป่วน!

มีความเคลื่อนไหวคึกคักเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “การ์ดตก”

“ยิ่งลักษณ์” ร่วงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากเหตุที่ “ย้าย” นายถวิล เปลี่ยนศรี จากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

หลังจากนั้นจังหวะก้าวของฝ่ายตรงข้ามจากที่เคย “แยกกันเดิน” ก็หันมา “รวมกันตี” ปูทางสู่ “รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557” ชัดแจ้งมี “3 ป.” เป็นผู้นำ

ทุกอย่างเป็นไปตามความเดิม

 

หลังจากก่อรัฐประหาร “3 ป.” ก็จัดหาคนที่ไว้วางใจให้เขียนกติกา หรือที่เรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญ” ในระหว่างนั้นใครชุมนุมคัดค้าน ก็จับขัง พอกติกาเสร็จก็ระดมสรรพกำลังรวบรวมสมุนบริวารทางการเมือง

“คณะรัฐประหาร 3 ป.” นั่งอยู่ในอำนาจยาวนานเกือบ 5 ปีซึ่งมากกว่า “วาระ” ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จากนั้นจึงจัดให้มี “การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562” ท่ามกลางความฮึกเหิมจนถึงกับมีผู้หนึ่งกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

แต่ผีทักษิณยังคงแรง ซ้ำยังมี “ปีศาจตัวใหม่”โผล่ขึ้นมาหลอกหลอน!

“อนาคตใหม่” พรรคการเมืองที่มี ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ พรรณิการ์ เป็นผู้นำได้จำนวนที่นั่งมากเป็นอันดับ 3 (เพื่อไทย 136, พลังประชารัฐ 116, อนาคตใหม่ 81, ประชาธิปัตย์ 53, ภูมิใจไทย 51)

ไม่มีใครคาดคิดว่า “อนาคตใหม่” อนาคตจะดับวูบลงฉับพลัน!!

ก่อนสิ้นปีนี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่จะต้องอ่าน ชนิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด นั่นคือ

“ระบอบลวงตา : การเมือง ความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำและการฉ้อฉลเชิงอำนาจในระบอบประยุทธ์” ของ “สฤณี อาชวานันทกุล” สำนักพิมพ์มติชน เพิ่งวางจำหน่าย

ทุกบทในหนังสือเล่มนี้ตีเข้าแสกหน้า ชี้ให้เห็นม่านมายา ความอยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย กลไกที่พิกลพิการ ความฉ้อฉลที่ซ่อนเงื่อน ความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจซึ่งเต็มไปด้วยข้อควรสงสัย ความเหลื่อมล้ำ และการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะในบทที่ว่าด้วย “โซ่ตรวนที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์ 20 ปี” ตั้งแต่ พ.ศ.2561-2580 นั้นสุดช้ำและเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับเด็กเยาวชนคนหนุ่มสาวที่จะเติบโตในอนาคต

ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นที่ “ใช้กระบอกปืน” ก่อนที่จะมีเสียงอวดโอ่ว่า มี ส.ส.และ ส.ว.อีกตั้ง 250 เสียงสนับสนุน เป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ผุดงอกออกมาจาก “รัฐสภา”

“ระบอบประยุทธ์” นั้นเกิดจากความตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์รัฐประหาร “กุมภาพันธ์ 2534” และ “รัฐประหาร กันยายน 2549” ไม่ให้สูญเปล่า

ใน 3 ทศวรรษนี้ประเทศไทยจึงถอยไปไกลมาก!?!!