ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 สิงหาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | วิกฤติศตวรรษที่ 21 |
เผยแพร่ |
มองโลกปี 2017 และหลังจากนั้น (30)
สงครามเศรษฐกิจกับมหาสงคราม
เมื่อกล่าวถึงมหาสงครามย่อมนึกถึงการเคลื่อนกำลังพลจำนวนนับแสน มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธร้ายแรงอื่น เป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจและพันธมิตร ที่เปลี่ยนสภาพและข้อเท็จจริงบนพื้นที่ทั้งโลก นั่นเป็นสิ่งที่เห็นและประสบได้ง่าย รุนแรง และน่ากลัว
แต่ความจริงนั้นมีสงครามที่เป็นพื้นฐานที่ต่อสู้กันดุเดือด แต่เข้าใจได้ยากกว่า
นั่นคือสงครามเศรษฐกิจ สงครามเศรษฐกิจมีการคลี่คลายไปตามเหตุการณ์ เมื่อขึ้นศตวรรษที่ 21 มีลักษณะเข้มข้นทั่วด้าน เป็นไปทุกระดับยิ่งขึ้น
สงครามเศรษฐกิจในเบื้องต้นเป็นการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วอย่างรุนแรงลุกเป็นไฟ ได้แก่ บริเวณมหาตะวันออกกลาง
ที่กำลังดุเดือดทวีความรุนแรงเป็นข่าวมากขึ้น ได้แก่ ในทวีปแอฟริกา
ในระดับกลางเป็นการสงครามทางด้านการผลิต การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การจัดระบบโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในระดับประเทศ ภูมิภาคและระดับโลก การส่งทุน แรงงาน
สำหรับสงครามเศรษฐกิจขั้นปลาย เป็นสงครามทางการค้า ภาษีศุลกากร การทำข้อตกลงและตั้งกลุ่มเศรษฐกิจ เป็นต้น ก่อให้เกิดความขัดแย้ง การเจรจา การทำข้อตกลงใหม่อย่างไม่รู้จบ
สงครามเศรษฐกิจเป็นมวยหมู่ แบ่งได้ตามคู่ต่อสู้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
ก) สงครามเศรษฐกิจในลัทธิอาณานิคมใหม่ เป็นการต่อสู้ระหว่างประเทศมหาอำนาจเก่ากับประเทศกำลังพัฒนา
โดยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อาณานิคมแบบเก่า ที่ใช้กำลังยึดครองดินแดนหรือประเทศอื่นมาเป็นเมืองขึ้น ดินแดนในอารักขา ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป เนื่องจากการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตยของประเทศอาณานิคมและกึ่งอาณานิคมอย่างกว้างขวาง
และประเทศเจ้าอาณานิคมตะวันตกที่ทำสงครามใหญ่สองครั้ง เพื่อแย่งชิงดินแดนหวังครองความเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ได้อ่อนแอลงมาก จึงได้แก้ไขการจัดระเบียบโลกใหม่ด้วยการสร้างลัทธิอาณานิคมแผนใหม่ขึ้น (ศัพท์อาณานิคมใหม่นี้ ใช้ตามประธานาธิบดี กวาเม เอนกรูมาห์ แห่งประเทศกานา เสนอเมื่อปี 1965 ถือว่าเป็นตัวแทนของผู้คับแค้นจากลัทธิอาณานิคม เขาเสนอการสร้าง “สหรัฐแห่งแอฟริกา” ขึ้น เขาถูกรัฐประหารปี 1966 โดยการสนับสนุนของตะวันตก ต้องลี้ภัยไปตายต่างแดน)
ลัทธิอาณานิคมใหม่นี้แอบซ่อนการใช้กำลังเพื่อล้มล้าง เปลี่ยนระบบไว้ข้างหลัง เบื้องหน้าใช้กลไกของทุนนิยม ได้แก่ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟและองค์การการค้าโลก เป็นต้น
โดยรวมคือใช้ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ลัทธิโลกาภิวัตน์ การควบคุมสื่อและทางวัฒนธรรม ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต้องขึ้นต่อประเทศมหาอำนาจตะวันตก
ข) สงครามเย็นใหม่ มีความเห็นร่วมกันหลายกลุ่มนักวิเคราะห์สถานการณ์โลกว่า ช่วงปี 2014-2016 เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นใหม่หรือสงครามเย็นครั้งที่สอง (ดูคำ Cold War II ในวิกิพีเดีย เป็นต้น) ระหว่างสหรัฐกับพันธมิตรและแกนรัสเซีย-จีน
ค) สงครามเศรษฐกิจชิงความเป็นใหญ่ในประเทศเจ้าอาณานิคมเก่า ประเทศเหล่านี้เคยรบกันเป็นสงครามโลกมาสองครั้งแล้ว คราวนี้เนื่องจากดุลกำลังเปลี่ยนไป สหรัฐอ่อนแอลง ก็กำลังทำสงครามกันอีกครั้ง
กรณีที่สะท้อนสงครามเศรษฐกิจในสงครามเย็นใหม่และในมหาอำนาจตะวันตกด้วยกัน ดูได้จากเหตุการณ์ปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนนท่วมท้นในการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจรอบใหม่ต่อรัสเซีย เด็ดปีกเศรษฐกิจสำคัญของรัสเซีย
พร้อมกันนั้นก็ตัดแยกความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านพลังงาน ระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรป
นายกรัฐมนตรี ดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซียประกาศว่าการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจของสหรัฐต่อรัสเซียครั้งนี้ เป็นการทำสงครามเศรษฐกิจเต็มรูปแบบต่อรัสเซีย
ส่วนสหภาพยุโรปประกาศจะตอบโต้ หากการแซงก์ชั่นดังกล่าวกระทบต่อผลประโยชน์ของตน
ในฉบับนี้จะกล่าวถึงสงครามเศรษฐกิจกับลัทธิอาณานิคมใหม่ในแอฟริกาก่อน
สงครามเศรษฐกิจกับลัทธิอาณานิคมใหม่-กรณีแอฟริกา
แอฟริกาปัจจุบันมีบทบาทบนเวทีโลกมากขึ้นเป็นที่จับตาและเป็นข่าวมากขึ้น
โทรทัศน์ของสหรัฐ อังกฤษ รัสเซีย จีน เพิ่มรายการเกี่ยวกับแอฟริกาโดยตรง
ความสำคัญของแอฟริกาอยู่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก มีจำนวนประชากรเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และเป็นทวีปที่มีคนหนุ่มสาวมากที่สุด อัตราการเป็นเมืองยังต่ำอยู่
ที่สำคัญคือแอฟริกาเป็นทวีปที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงแห่งหนึ่งของโลก
ระหว่างปี 2000-2010 อัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี
คาดหมายว่าอนาคตทางเศรษฐกิจของแอฟริกายังคงแจ่มใส (ดูบทความของ Acha Leke และเพื่อน ชื่อ 3 reasons things are looking up for African economy ใน weforum.org 05.05.2016)
แอฟริกามีการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของตน มีรากฐานทางประชากร วัฒนธรรมและอารยธรรมของตน ที่จะงอกเงยจากอิทธิพลครอบงำภายนอกที่หนักหน่วงและยาวนานได้อย่างน่าทึ่ง
ในช่วงแรก มีการสร้างอาณาจักรโดดเด่นอยู่ทางตอนเหนือของแอฟริกา ได้แก่ อาณาจักรอียิปต์โบราณเมื่อหลายพันปีมาแล้ว
อาณาจักรคาร์เธจ ศูนย์กลางการค้าโบราณในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อกว่าสองพันปี (ล่มสลายด้วยอำนาจกรุงโรม)
และชาวเบอร์เบอร์ที่ตั้งถิ่นฐานทางแอฟริกาตอนเหนือ รับอิทธิพลจากอาหรับและศาสนาอิสลาม สามารถตั้งอาณาจักรใหญ่ ข้ามไปปกครองสเปนได้ในศตวรรษที่ 8 (ล่มสลายปลายศตวรรษที่ 15)
สำหรับทางใต้ทะเลทรายสะฮารา มีการตั้งอาณาจักรอักซุม ทางแอฟริกาตะวันออก บริเวณเอธิโอเปียปัจจุบัน (ราว 100 ปีก่อนคริสตกาล) จักรวรรดิมาลีทางแอฟริกาตะวันตก (ค.ศ.1230-1600) อาณาจักรซิมบับเว ทางแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ (คริสต์ศตวรรษ 12-14) อาณาจักรโยรูบา บริเวณประเทศไนจีเรียปัจจุบัน (ดำรงอยู่ถึงกลางศตวรรษที่ 18)
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนาน (ช่วงก่อนการค้าทาสข้ามแอตแลนติกของตะวันตก) แอฟริกาได้เป็นหุ้นส่วนทางการค้าและความสัมพันธ์กับตะวันออกกลาง ศาสนายูดาห์ คริสต์และอิสลาม อารยธรรมกรีก โรมัน และจีน
ช่วงขยายตัวการค้าทาสจากพ่อค้าตะวันตก เริ่มจากพ่อค้าโปรตุเกสที่อยู่ใกล้กับแอฟริกาตะวันตกมาก เดินทางมาค้าขาย หวังจะได้ทองคำกลับไป แต่กลับมาได้การผูกขาดการค้าทาสในช่วงระหว่างปี 1440-1640 เป็นเวลาราวสองร้อยปี
การค้าทาสข้ามแอตแลนติกของตะวันตกเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากช่วง 1700-1800 เพื่อสนองการผลิตและการบริโภคในอเมริกาและยุโรป
ช่วงการรุมยึดเป็นอาณานิคมของตะวันตก (1880-1900) ต้นทศวรรษ 1880 ดินแดนที่ตกอยู่ในการปกครองของยุโรปมีนิดเดียว ตามบริเวณชายฝั่งและลึกเข้ามาเล็กน้อยระหว่างแม่น้ำใหญ่สองสาย ได้แก่ แม่น้ำไนเจอร์ และคองโก
แต่ฉับพลันตะวันตกได้เข้ายึดทั้งทวีปแอฟริกาเป็นเมืองขึ้น สืบเนื่องจากเหตุปัจจัยหลายประการได้แก่
ก) การเลิกการค้าทาสของอังกฤษ (ออกกฎหมายเลิกการค้าทาสปี 1807 และกฎหมายเลิกการมีทาสในอาณานิคมอังกฤษ 1833) เนื่องจากการเคลื่อนไหวเลิกทาสในหมู่ชาวอังกฤษ และการต่อต้านจากทาสเอง
ข) ระบบทุนนิยมต้องการแสวงหากำไรไปทั่วโลก ต้องการหากำไรจากทวีปนี้นอกจากการค้าทาส เกิดกระแสการสำรวจทวีปแอฟริกาขนานใหญ่ เพื่อนำทรัพยากรธรรมชาติและพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างขวางมาหาประโยชน์ สนองทองแดง ทองคำ ยางพารา กาแฟ น้ำตาล ไม้ เป็นต้น
ค) การแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจ เกิดมีมหาอำนาจใหม่ ได้จักรวรรดิเยอรมนีและอิตาลี ที่เข้ามาแข่งขันกับมหาอำนาจเดิมมีอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม เป็นต้น เพื่อสร้างอาณานิคมในแอฟริกา ทำให้สามารถผูกขาดการผลิตการค้าในพื้นที่นั้นๆ ได้สะดวก
ง) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ได้แก่ การสร้างเรือกลไฟเหล็กได้ เทคโนโลยีทางการทหารและการสงคราม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น ยาควินินต่อสู้ไข้มาลาเรีย
เหตุการณ์สำคัญที่เอื้อให้เกิดการรุมยึดเป็นอาณานิคมของตะวันตก ได้แก่ การประชุมเบอร์ลิน (1884-1885) สร้างกฎทั่วไปขึ้นในการตัดแบ่งแอฟริกาในหมู่ประเทศมหาอำนาจตะวันตก (รวมสหรัฐด้วย) กำหนดให้แม่น้ำไนเจอร์ และคองโก เสรีสำหรับการเดินเรือของทุกประเทศ และประเทศมหาอำนาจยุโรปจะยึดที่ใดเป็นอาณานิคมหรือพื้นที่ในอารักขา จะต้องมีความสามารถในการยึดครองและสร้าง “เขตอิทธิพล” ของตนได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาเพียง 20 ปี ทั่วทั้งแอฟริกาก็ตกเป็นอาณานิคมหรือกึ่งอาณานิคมของตะวันตก ยกเว้นเพียงประเทศไลบีเรีย (ปกครองโดยทาสอเมริกัน-แอฟริกัน) และเอธิโอเปีย ที่ถือว่าไม่ตกเป็นอาณานิคม (ดูบทความของ Alistair Boddy-Evans ชื่อ What Caused the Scramble for Africa? ใน thoughtco.com 18.04.2017)
ในช่วงเวลาสั้นๆ ของการค้าทาสข้ามแอตแลนติกและการกลายเป็นอาณานิคมในช่วงข้ามคืนนี้ ประวัติศาสตร์แอฟริกาเหมือนเขียนใหม่โดยตะวันตก
แต่แอฟริกาพ้นจากการเป็นอาณานิคมในทศวรรษ 1960 และค่อยๆ เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ของตนด้วยพลังแห่งความหลากหลายทางชนชาติและวัฒนธรรม การเพิ่มขึ้นของประชากรอัตราสูงอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษ และความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและดินแดน
การเพิ่มขึ้นของประชากรแอฟริกา เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ตะวันตกให้ความสนใจและกังวลอยู่มาก
ในปี 1950 แอฟริกาทั้งทวีปมีประชากรเพียงสองร้อยล้านคนเศษ ราวครึ่งหนึ่งของประชากรจีน
แต่ในปี 2017 จำนวนเพิ่มไปถึง 1.2 พันล้านคนใกล้กับจีน อายุปานกลางก็ต่ำเพียง 19.5 ปี
ธนาคารโลกคาดว่าในปี 2050 ราวครึ่งของจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในทวีปแอฟริกาซึ่งจะมีประชากรทั้งสิ้นถึง 2.5 พันล้านคน เป็นประชากรที่มีเยาวภาพ อายุปานกลางอยู่ที่ 25 ปี ซึ่งย่อมก่อปัญหาใหญ่ต่อรัฐบาลในการสนองโครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณะที่จำเป็น เช่น การแพทย์ สาธารณสุขและการศึกษา ตลอดจนสร้างงานแก่ชาวแอฟริกันที่เพิ่มขึ้น
ความกดดันที่แน่นอนก็คือรัฐบาลในแอฟริกาจำต้องดำเนินนโยบายชาตินิยมทางทรัพยากรธรรมชาติในระดับหนึ่ง ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่า ไม่ปล่อยให้ต่างชาติตะวันตกมาขุดเจาะไปง่ายๆ เหมือนเดิม
การเข้าแทรกแซงเพื่อชิงความได้เปรียบอาจก่อสงครามชิงทรัพยากร ไปถึงสงครามกลางเมือง ก่อกระแสผู้อพยพจากแอฟริกาไปยุโรปอย่างที่เป็นอยู่
ชาตินิยมทางทรัพยากรในแทนซาเนีย
ในเดือนกรกฎาคม 2017 รัฐบาลแทนซาเนียได้เรียกภาษีย้อนหลัง รวมค่าปรับและดอกเบี้ยจากบริษัทเหมืองแร่อะกาเซียมูลค่ามหาศาลถึง 190 พันล้านดอลลาร์ (เป็นภาษี 40 พันล้านดอลลาร์ ค่าปรับและดอกเบี้ย 150 พันล้านดอลลาร์ บริษัทเหมืองแร่อะกาเซียเป็นบริษัทสาขาของบริษัทบาร์ริก โกลด์ ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ทองคำใหญ่ที่สุดของโลก มีฐานในแคนาดา) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฉมการทำเหมืองแร่ในแทนซาเนียใหม่
อุตสาหกรรมเหมืองแร่มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 3 ของจีดีพีแทนซาเนีย มีโครงการทำเหมืองแร่หลายชนิด ได้แก่ เพชร ยูเรเนียม ถ่านหิน และเหล็ก แต่ในขณะนี้กิจการเหมืองแร่ทองคำยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุด ผูกขาดโดยสองบริษัท ได้แก่ อะกาเซียและแองโกลโกลด์ สามารถผลิตทองคำรวมกันในปี 2016 ถึง 37 ตัน โดยแทนซาเนียเป็นประเทศผลิตทองคำใหญ่เป็นอันดับสี่ในแอฟริกา
ในระยะใกล้นี้รัฐบาลแทนซาเนียได้ออกกฎหมายหลายฉบับคุมเข้มการทำเหมืองเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลมากขึ้น และทำให้กิจการเหมืองแร่สนับสนุนเป้าหมายอุตสาหกรรมแห่งชาติ เช่น ให้ต้องฝึกชาวแทนซาเนียให้ใช้ซับพลายเออร์ท้องถิ่นก่อน เป็นต้น การเจรจาเป็นไปอย่างล่าช้า ประธานาธิบดี จอห์น มากูฟูลี เดินเกมรุกแตกหัก ยื่นเรียกภาษีและค่าปรับดังกล่าว
ยอดเงิน 190 พันล้านดอลลาร์นี้ รัฐบาลแทนซาเนียอ้างว่ามาจากตัวเลขทองคำส่งออกของบริษัทที่ต่ำกว่าจริงมาก และคำนวณว่ารัฐต้องสูญเสียรายได้ไปเท่าใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วเรียกคืน แต่พิจารณาแล้วบริษัทอะกาเซียคงไม่สามารถจ่ายเงินยอดนั้นได้ และต้องนั่งโต๊ะเจรจาโดยด่วน ประธานาธิบดีมากูฟูลีประกาศว่า ถ้าหากบริษัทเหมืองแร่ไม่รีบมาเจรจา “ผมจะปิดเหมืองแร่ทั้งหมด และนำมาเป็นของชาวแทนซาเนีย” (ดูบทความของ Dan Paget ชื่อ All bets are off as Magufuli”s resource nationalism moves up a gear in Tanzania ใน theconversatin.com 28.07.2017)
กรณีของแทนซาเนียชี้ว่า การทำสงครามเศรษฐกิจนั้น ไม่ได้ผูกขาดทำโดยสหรัฐเท่านั้น
ฉบับต่อไปจะกล่าวถึงสงครามเศรษฐกิจในแอฟริกาและละตินอเมริกัน