เรื่องสั้น : ระหว่างทาง

เรื่องสั้น

วัฒนพงษ์ แก้วนาพันธ์

 

ระหว่างทาง

 

“ตอนแรกก็วัวควายหาย หนึ่งตัวสองตัวยังพอว่านะสารวัตร บางทีหายเป็นฝูง หายังไงก็ไม่เห็นสักตัว ติดต่อให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ข้างๆ ช่วยสกัดจับช่วยหาก็ไม่เจอ หาตามเขียงฆ่าสัตว์ก็ไม่มี เหมือนหายตัวไปได้ยังไงยังงั้น ถามหากับพ่อค้าวัวควายยิ่งแล้วใหญ่ หายไปไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะสารวัตร พวกผมฝ่ายปกครองไม่ได้นิ่งนอนใจ จนปัญญาจริงๆ” เสียงผู้ใหญ่บ้านเจ้าของพื้นที่อิดหนาระอาใจ “แล้วมีคนหายอีก ความวัวควายยังไม่ทันหายความคนก็เข้ามาแทรก ไม่ใช่คนเดียวอีกนะ ตอนนี้นับได้ห้าคนเข้าไปแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เป็นคนโตแล้วนา คนไม่รู้ประสีประสายังพอว่า ตอนนี้ลามไปหมู่บ้านข้างๆ แล้ว จึงร้อนถึง สภ.พวกท่านนี่ละครับ”

มันก็จริงอย่างผู้ใหญ่สมคิดว่า ผู้กำกับจึงส่งผมออกมาพื้นที่ อาชญากรรมอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในอำเภอด้วยซ้ำ ผมเรียกว่าอาชญากรรม กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงจังหวัด หมู่บ้านก็ใช่ว่าจะกันดารเป็นป่าเป็นดงเหมือนเมื่อก่อน ทางลาดยางก็เข้าถึงทุกเส้นทางแล้ว พวกโจรที่เป็นเสืออย่างสมัยก่อนก็ไม่มีแล้ว มีแต่ขี้ยา พวกนี้สายของผมแทรกซึมทุกหมู่บ้าน สอบสวนก็ไม่ได้ความคืบหน้า เป็นเรื่องที่แปลกมาก ปากคำจากญาติพี่น้องบอกว่าแต่ละคนไม่มีลักษณะนิสัยส่อไปในทางเลวร้าย ไม่มีศัตรูคู่อริ ปัญหาทางชู้สาวก็ไม่มี เป็นชาวบ้านธรรมดา ทำมาหากินตามประสา บางคนใจบุญสุนทานด้วยซ้ำ

เบาะแสที่ได้อย่างเดียวจากเจ้าทุกข์คือหายไปเฉยๆ ไม่มีร่องรอยให้ตามอีกแล้ว “แล้วผู้ใหญ่มีอะไรที่ผิดสังเกตนอกเหนือจากนี้หรือเปล่าครับ”

“ถ้าเป็นวัวควายคือหายตอนเอาออกไปหากิน ไม่ตอนไปก็ตอนกลับ คนหายก็หายระหว่างเดินทาง จะออกไปทำธุระที่โน้นที่นี่ พาหนะที่ใช้มีทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์” หน้าผู้ใหญ่อมทุกข์

“จ่าจดไว้หน่อย วัวควายหายระหว่างนำออกไปเลี้ยง คนหายตอนออกไปทำธุระ” ผมสั่งจ่ามืดที่ติดตามมาด้วย “หมู่บ้านนี้มีทางเข้าอีกกี่ทางครับ”

“ถ้าทางเข้า-ออกก็หลายทาง จะเอาทิศไหนก่อนครับสารวัตร”

“เอาเส้นทางที่คนไปเลี้ยงสัตว์ และคนหายไปทำธุระ” ผมพยายามหาเบาะแสให้แคบกว่าเดิม แต่ไม่ตัดเส้นทางที่เหลือ

“ทางที่จะไปตัวอำเภอมีสองทาง ทางแรกอ้อม ถนนเป็นลาดยางนานแล้ว แต่ก่อนสัญจรเส้นนี้ อีกทางเป็นเส้นบ้านหนองแห้วหมูกับหมู่บ้านผม เออ! สารวัตร เส้นนี้เพิ่งลาดยางได้สักครึ่งปีนี่เอง คนหายวัวควายหายก็เส้นนี้แหละครับ”

เบาะแสที่ได้เริ่มแคบเข้ามาบ้างแล้ว “มีเบาะแสอื่นอีกไหมครับ”

“น่าจะแค่นี้แหละครับ”

“ผู้ใหญ่ว่างไหมครับ พาผมไปดูได้ไหม เผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติม”

“ได้ครับ ได้ ผมยินดีช่วยเต็มที่อยู่แล้ว” ผู้ใหญ่สมคิดตอบรับอย่างดี

“ไปคันเดียวกันก็ได้ครับ เผื่อมีอะไรสงสัย ผมจะได้ถามในรถ นั่งคู่กับคนขับนะครับ จะได้บอกทางบอกรายละเอียด”

 

แสงแดดไม่ได้ขับไล่ความมืดอย่างเดียวเท่านั้น ยังให้ความอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวอย่างนี้ บรรยากาศตามหมู่บ้านทุ่งไร่ทุ่งนาช่างน่าพักผ่อนหย่อนใจ แต่นี่! ผมต้องทำงาน ภายในใจของผมตรงข้ามกับอุณหภูมิสิ้นดี อากาศเย็นทำให้ต้องกระชับเสื้อนอก

ทางลาดยางสายชนบทเหลือไหล่ทางไว้แค่ไม่กี่คืบ บางแห่งผิวถนนไม่เรียบแล้ว ไม่ยุบก็แตก ต้องอาศัยความคุ้นเคยถึงจะขับอย่างมั่นใจได้ ตรงไหนควรเร่งเครื่องวิ่งเร็ว ตรงไหนควรชะลอ

“แต่ก่อนเป็นทางลูกรังหินแดง ผมมีชีวิตถึงปลายคนแล้วถึงได้ลาดยาง ทั้งที่ควรจะลาดตั้งนานแล้ว ชาวบ้านไม่ต้องไปทางโน้น ทางโน้นมันอ้อมมาก ไม่ต้องพูดถึงหน้าฝนเลย ขนาดตอนไม่มีฝนยังไป-มายากเลย สะดวกที่สุดก็มอเตอร์ไซค์ ไม่มีใครกล้าเอารถยนต์มาเสี่ยงหรอก มอเตอร์ไซค์ยังต้องขับซิกแซ็ก” เหมือนผู้ใหญ่จะเก็บกดมานาน ผมยังไม่ได้ถามสักคำเลย แกยังมีกะใจสาธยายตั้งแต่นั่งบนรถ

หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรแล้ว กลิ่นหอมของฟางข้าวโชยมาตามลมหนาว ให้ผมระลึกภาพวัยเยาว์ ทำไมผมจะไม่รู้ ผมก็คนพื้นถิ่นอำเภอนี้ ตอนเป็นหนุ่มกระทง เทียวไปเทียวมาอยู่บ้าง มีเพื่อนที่เรียนมัธยมปลายในตัวอำเภอเกือบจะทุกหมู่บ้าน แถวนี้ก็เคยมาบ้าง หลายที่ยังเหมือนเดิม สิบปียังไงยี่สิบปีต่อมาก็ยังงั้น

“สารวัตรครับ มีอะไรจะถามหรือเปล่าครับ” ผู้ใหญ่ปลุกผมจากภวังค์

“เส้นทางนี้ไปอำเภอยาวกี่กิโลเมตรครับ”

“จากหมู่บ้านผมไปอำเภอก็เกือบๆ ยี่สิบครับ เส้นทางที่ลาดยางใหม่นี้ประมาณแปดกิโลเมตร ออกไปเชื่อมกับทางสี่เลนอีกครับ”

“เพิ่งลาดยางไม่ถึงปี ไม่น่าจะมีสภาพอย่างนี้นะ” ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ

ผู้ใหญ่หูดี “อะไรครับสารวัตร”

“เอ่อ! ไม่มีอะไรครับ ผมพูดกับตัวเอง” หันไปหาจ่ามืด กำชับ “จ่า ไม่ต้องรีบก็ได้ ค่อยๆ ไป ขับดีๆ เดี๋ยวจะขับตกหลุม รถสึกหรอ รถราชการเอาไว้ใช้นานๆ หน่อย”

“ครับ สารวัตร ผมก็ไปไม่เร็วหรอก ทางไม่ค่อยได้มา ต้องหลบซ้ายหลบขวาหลีกหลุม” จ่ามืดเหมือนรู้ใจผมอยู่แล้ว

“ชาวบ้านใช้ทางเส้นโน้นตั้งนาน พอรู้ว่าเขาจะลาดยางทางเส้นนี้ให้ ผมก็ดีใจมาก บอกให้หลวงพ่อที่วัดรู้ ท่านก็ประกาศอนุโมทนาให้เจ้านาย อำนวยอวยพรให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป วันพระท่านแจ้งญาติโยมที่ไปทำบุญ แต่ละคนดีใจยกใหญ่ แค่รู้ข่าวก็เป็นมงคลกับหัวใจแล้ว ประหยัดเวลาประหยัดน้ำมันได้ตั้งเยอะ ทีนี้ญาติพี่น้องจะไปมาหาสู่กันสะดวก ไม่ต้องวัดใจกับถนนว่าจะหลีกไปจ๊ะเอ๋กับเลนตรงข้าม”

ยังไม่ทันขาดคำก็ถึงทางสี่เลน ผมบอกให้จ่ามืดกลับรถไปส่งผู้ใหญ่ที่บ้าน

 

ขอบคุณผู้ใหญ่แล้ว ขอตัวไปทำธุระต่อ ให้จ่ามืดขับตามเส้นทางเดิม เผื่อมีอะไรหลงหูหลงตาไปบ้าง จะได้เก็บรายละเอียดเพิ่มเติม

รถออกแล้ว ผมนั่งคิด นำเบาะแสที่ได้หลายๆ อย่างมาปะติดปะต่อกัน

จ่ามืดเป็นฝ่ายพูด “เหมือนผู้ใหญ่แกอัดอั้นมานานนะครับสารวัตร อยู่บ้านเมียแกไม่ให้พูดหรือยังไง ตั้งแต่ขึ้นรถจนลงรถ ผมหาคำจะแทรกแกไม่ได้เลย”

“จ่าก็ไม่น่าแซวแก ดีแล้วแหละ เผื่อเราจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง” ผมปรามจ่ามืด

เหมือนแกจะยังไม่ฟังอยู่ดี “เส้นทางชนบทที่ไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ ใช่ไหม สารวัตร จะให้เหมือนในเมืองใหญ่ๆ ได้ยังไง ขอแค่มี เขาสร้างให้ก็บุญหัวแล้ว จะเอาทางยกระดับ สร้างสะพานลอยให้ควายข้ามหรือยังไง”

“เออ! นา เรื่องของแก จ่าจะบ่นให้ผมรำคาญทำไม สนใจเรื่องของเราดีกว่า กว่าจะได้เบาะแส จ่าขับก็สังเกตข้างทางดีๆ ด้วย มีอะไรผิดสังเกตก็บอกผม บ่นไปไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เห็นไหม! ว่าผู้ใหญ่ ตัวเองก็เป็นเองซะยังงั้น” ปรามแล้วปรามอีก จ่าก็ยังไม่หยุดปาก

“แล้วเราจะเอายังไงต่อดีล่ะ สารวัตร…” ยังไม่ขาดคำดี ขณะหันมาพูดกับผม ลมหนาวพัดกระพือ แดดส่องประกายเข้ามาทางหน้ารถ จ้าจนแสบตา

“จ่า! ระวัง หล่มใหญ่…”

ไม่ทันการณ์เสียแล้ว รถลงไปในหลุมทั้งสองล้อ

สมองบอกผมว่าให้เตรียมรับแรงกระแทก มือไขว่คว้าอย่างอัตโนมัติ จับอะไรได้ต้องจับให้แน่นหนาไว้ก่อน เตรียมตัวโยกหมุนตามรถ

สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น รถหมุนเสียหลัก พุ่งเข้าไปหาความมืด ว่างโหว่ง ไร้แรงกระแทก หมุนติ้วไม่รู้กี่ตลบ รถยังพุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ที่สำคัญบรรยากาศรอบข้างไม่ใช่ทุ่งนาอย่างเดิมแล้ว อะไรเนี่ย!

 

ผมรู้สึกตัวก่อนจ่ามืด สำรวจร่างกายตัวเองจนแน่ใจ ไม่มีอะไรแตกหัก ปลุกจ่ามืด

ลืมตาได้ แกก็พนมมือไหว้ผม “ผมขอโทษครับสารวัตร ผมขอโทษ ต่อไปจะไม่ขับรถประมาทอย่างนี้อีกแล้วครับ ผมจะเชื่อฟังคำสารวัตรทุกคำเลยครับ จะไม่ขี้บ่นอย่างนี้อีกแล้ว”

ผมต้องปัดมือแกออก ให้สงบสติอารมณ์ “เป็นอะไรไหม เจ็บ ปวด แตก หัก ตรงไหนหรือเปล่า ไม่เป็นไรหรอกเรื่องนั้นน่ะ จ่าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม เงียบก่อน นิ่งสิจ่า นิ่งก่อน ดู ดูนอกรถสิ”

นัยน์ตาแกแทบถลนออกนอกเบ้าเลยก็ว่าได้ “ที่นี่ที่ไหน สารวัตร นี่ผมขับพาสารวัตรมาโผล่ที่ไหนเนี่ย ตายแล้ว ใช่บ้านเมืองเราหรือเปล่าเนี่ย” รีบออกจากรถ

ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่บ้านเมืองเราแน่นอน แต่จะเป็นที่ไหนผมก็ให้คำตอบไม่ได้ ขนหัวลุกวาบ

จ่ามืดเอาแขนที่ขนลุกชูชันมาให้ดู “ตายแล้ว สารวัตร นี่ผมตายไปแล้ว หรือฝันไปกันแน่ ใครก็ได้ปลุกผมที ผมยังไม่ตายนะ”

“หยุด หยุดแหกปากได้แล้วจ่า” ผมไม่น่าพาคนแก่กลัวตายมาด้วยเลย “ตั้งสติก่อน จะเป็นที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ที่รู้ๆ ผมคิดว่าเรายังไม่ตาย ถึงตายก็ไม่ได้ตายคนเดียว ตายทั้งสอง ผมก็ตาย จ่าก็ตาย ตั้งสติดีๆ ก่อน จะโวยวายทำไม” ออกฉุนคนแก่

ถนนเส้นนี้คุ้นๆ คิดว่าใช่เลย บรรยากาศกลับเป็นอีกอย่าง อุโมงค์ต้นไม้อายุร้อยกว่าปีตั้งเป็นคู่ขนานเรียงรายไปตามถนนสี่เลน เขียวครึ้มเป็นระเบียบเรียบร้อย อากาศก็สบายไม่ร้อนมาก ไม่เย็นมาก มองไปทางไหนก็น่าอยู่ พาจ่าเดินดูจนทำให้อารมณ์เริ่มเย็นลงบ้าง

สักครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงเกือกเหล็กมาจากทิศทางข้างหน้า ดังถี่ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้ต้องระวังตัวมากขึ้น สัญชาตญาณบอกว่ามีสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจกำลังใกล้เข้ามา เตรียมปืนออกมา ตั้งท่ารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า

ควายร่างยักษ์สองตัววิ่งเข้าใส่ เหมือนพวกมันจะเข้าพุ่งชนพวกผมให้ได้ ต้องวิ่งไปแอบอยู่หลังรถ แต่ละตัวดำทะมึน เนื้อตัวล่ำสันสูงใหญ่ เงางามทั้งตัว คำนวณในใจคงหนักเกือบสองตัน ถ้ามันจะขยี้รถ คิดว่าคงแหลกลาญในพริบตา ตัวหนึ่งอ้อมมาทางที่ผมซ่อน อีกตัวดักทางไว้ พวกมันเตรียมจู่โจม

พวกผมยังไม่ผลีผลาม ดูเชิงก่อน

มันถั่งลมออกทางจมูกจนฝุ่นฟุ้ง

จ่ามืดเสียงสั่น “เอาไงดีสารวัตร ถ้าพวกมันชน พวกเราไม่เหลือเลยนะ

“ใจเย็นก่อน” ผมทำใจดีสู้เสือ

“เป็นพวกคนเองเหรอ นึกว่าเป็นพวกของเราซะอีก เสียเวลาว่ะ” ตัวที่อ้อมมาฝั่งผมพูด

ควายพูดได้ด้วย จ่ามืดยิ่งตื่นกว่าเดิม

ตัวที่ดักไว้อีกทางบอก “เออ! พวกเราพูดได้ นี่มันบ้านเมืองเรา พวกคุณหลงเข้ามาเอง ไม่รู้เหรอ ทำตัวเป็นแขกที่ดีหน่อย” เสียงของควายตัวนี้เป็นมิตรกว่าอีกตัว “พวกผมเป็นมหิงส์พิทักษ์ มีหน้าที่ดูแลโลกใบนี้ ผมชื่อวิสาล”

“พูดดีกับพวกมันทำไม ไม่ขวิดไส้แตกก็ดีแล้ว”

“ใจเย็นไพรัตน์ เขาเป็นแขกเรานะ” เดินมาหาพวกผมด้วยท่าทางองอาจ “ตอนนี้พวกคุณเป็นแขก แต่ต่อไปไม่แน่ อาจกลายเป็นพลเมืองพวกเรา หรืออาชญากรรมก็ได้ อยู่ที่พวกคุณจะเลือก ผมต้องคุมตัวพวกคุณไปคอก” สีหน้าของเขาเปลี่ยนสี “ใจเย็นสิไพรัตน์ เราทำร้ายพวกเขาไม่ได้ เดี๋ยวโดนหรอก”

“ก็มันน่าไหมล่ะ เห็นครั้งแรกก็ไม่ถูกชะตาแล้ว เหมือนพวกมันมีเจตนาแอบแฝงมา”

วิสาลมองที่ผม “ไม่มีอะไรหรอก เขานิสัยอย่างนี้เอง ไม่ค่อยชอบคนเท่าไร ไม่รู้ฝังใจอะไรหนักหนา” ก้มพูดกับผม “คุณคงเป็นหัวหน้าคนนี้ใช่ไหม เหมือนเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่าง ขอรู้ชื่อหน่อย”

“ผมเป็นตำรวจ คงทำหน้าที่เหมือนพวกคุณในโลก…มนุษย์ ผมพันตำรวจโทมนัสศักดิ์ วรรณกองแก้ว ใช่…ผมเป็นหัวหน้า เรียกสารวัตรนัสก็ได้ นั่นลูกน้องผม จ่ามืด”

“เชิญสารวัตรขึ้นหลังผม จ่ามืดไปขึ้นหลังไพรัตน์”

ผมคงต้องยอมตามด้วยดี นี่ไม่ใช่โลกใบเดิมแล้ว

เสียงจากไพรัตน์ “หาที่จับเอาเองนะ ข้าวิ่งเร็ว ไม่รับประกันความปลอดภัย”

 

พวกเขาเรียกสำนักงานว่าคอก กว่าจะถึงตัวเมือง ทำให้ผมได้ดูบ้านเมืองพวกเขา ยังตงิดใจเหมือนเคยผ่านทางนี้ ที่อยู่ทุกอย่างถูกจัดสรรด้วยต้นไม้ สร้างเป็นเมืองไม้ รูปร่างไม่ซ้ำกัน ดูแล้วเหมือนเมืองทิพย์เลย ไม่คิดว่าจะสร้างเป็นรูปร่างอย่างนี้ได้ บางหลังเป็นชั้นขึ้นไปก็มี หรือห้อยย้อยลงมาก็มี ต้องกอดคอเขาไว้แน่น ทำให้ได้แค่ชำเลือง ข้างหน้ามองเห็นเป็นเมืองใหญ่ มีสะพานลอยให้ควายข้ามเหมือนจ่ามืดว่าจริงๆ ด้วย คล้ายผมเห็นคนสักคนข้างทาง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่แน่ใจ ถึงคอกที่เขาว่า ถึงได้รู้ว่าเมืองนี้ไม่ได้มีแต่ควาย ใช่จริงๆ ด้วย มีคนด้วย แต่ไม่มากเท่าสิงสาราสัตว์อื่นๆ ทุกตัวมองมาที่พวกผม ทุกประเภททุกชนิดอยู่ร่วมกันได้ โดยมีควายเป็นผู้ปกครอง

“พวกคุณต้องเข้าไปอยู่คอกจำก่อน” เขานำพวกผมเข้าไป กว่าจะถึงคอกที่ว่า ก่อนหน้าก็มีคอกเรียงเป็นแถว ไม่รู้ตัวอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มีคนอยู่อีกคอกด้วย หน้าคุ้นๆ “รอเรียกไปสอบสวนนะ ว่าพวกคุณจะเอายังไงกันแน่ ไม่นานหรอก มีเรื่องอะไรก็เรียกเจ้าหน้าที่ได้” พวกผมเข้าไปคอกแล้ว เขาก็ไป

“สารวัตร นี่พวกเรายังไม่ตายจริงๆ ใช่ไหม ทำไมโลกนี้มีสิ่งพิลึกพิลั่นอย่างนี้” จ่ามืดยังไม่เชื่อตัวเอง อย่าว่าแต่จ่ามืดเลย ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

รออยู่ครู่ใหญ่ มีควายเดินนำคนมา

เมื่อเจอหน้ากัน “อ้าว” พร้อมกันทั้งสามคน เป็นจ่ามืดที่ปากว่ามือถึงก่อน ยกมือขึ้นไหว้คนผู้นั้น “สวัสดีครับท่าน ส.ส.” หันหน้ามาบอกผม ทั้งที่ผมรู้อยู่แล้ว “ส.ส.บ้านเราครับสารวัตร” ผมพลอยยกมือไหว้ตามด้วย

“สารวัตรนัส ไม่นึกว่าจะเจอกันที่นี่” ส.ส.สว่าง ประทีปงาม น้ำเสียงทั้งแปลกใจและไม่ค่อยพอใจที่เจอผมในโลกนี้ “เป็นไงมาไงล่ะครับ ทำไมสารวัตรถึงได้หลงเข้ามาในนี้ได้” ปรับน้ำเสียงสีหน้าทันที

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “ตามคดีคนหายจนหลุดมาถึงนี่แหละครับ”

“จริงๆ แล้วไม่มีใครหายหรอก เข้ามาอยู่ในนี้หมด ทั้งคนทั้งสัตว์เลี้ยง อยู่ห้อง เอ่อ! คอกข้างๆ กัน” ส.ส.ลืมไปว่ามีควายอยู่ตรงหน้าตัวหนึ่ง

วิสาลถั่งลมหายใจใส่คน “อยู่ในนี้ไม่มีสัตว์เลี้ยง แต่คือประชากรของโลกนี้ ทุกตัวมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมาจำแนกพวกเรา มีแต่มนุษย์ที่เป็นกาฝากของโลกนี้ พวกเรายินดีแบ่งให้อาศัยอยู่ด้วยก็บุญหัวแล้ว”

ส.ส.รู้ตัวว่าพูดผิดไป “ผมขอโทษพวกท่านด้วยครับ อาจผิดพลาดเพราะไม่ตั้งใจ ผมขอโทษจริงๆ ครับ ต่อไปต้องระวังตัวมากกว่านี้” คำสุดท้ายท่านพูดกับตัวเอง

ว่าแล้ว ตงิดๆ ใจ ทำไมคนในโลกนี้รู้สึกคุ้นหน้าหลายคน ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ผมกำลังตามหา แต่ ส.ส.คนนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อคนหายสักหน่อย แล้วมาอยู่ในนี้ได้อย่างไร เขามาได้อย่างไร ในหัวผมเหมือนปมถูกแก้แล้วเปลาะหนึ่ง มัดเข้าอีกเปลาะหนึ่ง

เขาอ่านความสงสัยของผมออก “เอาอย่างนี้ เป็นมาอย่างไร ผมจะบอกทีหลัง เอาเป็นว่าคุณออกมาจากคอกนี้ก่อน มาคุยกัน” ส.ส.พูดเหมือนสั่งวิสาลให้ปล่อยพวกผมออกจากคอก

“คุณรับรองแน่นะ ว่าจะปล่อยสองคนนี้” วิสาลถามย้ำ

“ผมรับรอง เรารู้จักกันพอสมควรไม่ใช่หรือ ไม่ไว้ใจผมหรือไง” มองหน้าวิสาล

“ได้”

 

พวกมีเขาปล่อยให้พวกมีผมคุยกันลำพัง “เป็นไง สิ่งที่คุณตามหา อยู่ในโลกใบนี้หมดแล้วใช่ไหม รู้สึกยังไงบ้าง แสดงว่าการไขคดีของคุณก็สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วใช่ไหม” ส.ส.สว่างเริ่มก่อน

“ครับ” ตอบรับแต่ปาก ตาผมยังลุกลี้ลุกลนสำรวจสิ่งรอบข้างไปทั่ว

ส.ส.สว่างพูดต่อ “ผมรู้จักคุณ สารวัตร เคยร่วมงานกันหลายงานแล้ว ไม่รู้คุณลืมหรือยัง ผมจะไม่อ้อมค้อมนะ ผมรู้จักที่นี้ตั้งนานแล้ว ไม่ต้องแปลกใจ ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราก็รู้จักดี รู้จักมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ไม่อย่างงั้น บ้านเมืองเราจะสืบทอดอำนาจให้ลูกหลานได้นานขนาดนี้เหรอ เพราะสิ่งที่ได้จากโลกนี้ช่วยพวกผมได้เยอะ” เขาเน้นคำว่าพวกผมที่ไม่ใช่คนอย่างผมรวมด้วย “ผมเริ่มรู้จักตอนเข้ามารับตำแหน่ง ส.ส.ใหม่ๆ” ไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่วอกแวก จ่ามืดยิ่งกว่าผมอีก ส.ส.หันไปหาจ่ามืด “เอาไหม ผมจะพาดูให้ทั่ว ตอนนี้ ผู้นำของโลกเราก็เข้ามาพักผ่อนที่นี่หลายคน”

ไม่อยากจะเชื่อเลย มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ “ไม่ดีกว่าครับ ผมสนใจแค่คดีที่กำลังตามอยู่ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีครับท่าน”

“จะบอกอะไรให้เข้าใจก่อนนะ ชุดที่หายเข้ามา ไอ้คดีที่คุณตามอยู่นี่แหละ ไม่ใช่ชุดแรก บางคนมาอยู่เลย ไม่ยอมกลับโลกเรา เป็นพลเมืองชั้นสอง ผมเคยถามทำไมไม่กลับ หน้านี้ยิ้มแย้มใหญ่เลย บอกกลับไปให้โง่ โลกใบนั้นไม่มีที่อยู่ที่กินสำหรับเขาแล้ว ในนี้ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่…แต่…คุณดูสิ ที่นี่มันน่าอยู่จะตาย ทรัพยากรเพียบ ไม่มีมลพิษ อาหาร ผลไม้ ผัก มีไหม โลกเรามีไหม ใครจะเอาไปกินก็ได้ ไม่มีใครทำลาย ไม่มีใครแย่งชิงหรือกักตุน เอาแค่พออยู่พอกินก็เหลือเฟือแล้ว” บรรยายสรรพคุณไปเรื่อย ผมก็มองไปรอบๆ ตัว

จะให้ผมเชื่อเหรอ ไม่มีทางหรอก ผมไม่เชื่อลิ้นใครง่ายๆ หรอก โดยเฉพาะ…!

“อยู่ที่นี่ทำงานไม่กี่ชั่วโมง หาผักหาหญ้าให้ตามที่เขาสั่งการ หลังจากนั้น จะทำอะไรก็ทำ มาว่าเรื่องของเราดีกว่า คุณจะเอายังไง เออ! เหมือนคุณสงสัย ทำไมพวกที่หาย คนที่อยู่คอกข้างๆ คุณยังไม่ได้ออกมา ก็ผมไม่รับรองไง ไม่รู้จัก ดีนะที่คุณเจอผม พวกนั้นจะเอาไปสอบสวนจนละเอียด ถึงจะได้รับพิจารณาว่าควรทำอย่างไร มันอยู่ที่พวกมีเขา คุณจะเอายังไง ลองว่ามาซิ”

“ถ้าผมบอกว่าจะพาคนหายกลับบ้านเราด้วย คุณจะว่ายังไง”

เขาขึ้นเสียง “ฮึ้ย! จะทำยังงั้นได้ยังไง ก็บอกแล้วไง ผมช่วยได้แค่พวกคุณ พวกนั้นผมไม่รับรอง พวกมีเขาจะต้องพิจารณาก่อน ดีไม่ดี ถามเจ้าตัว พวกนั้นอาจจะไม่อยากกลับก็ได้ พวกมีเขามีวิธีการหลายอย่างที่จะเอาคนไว้ใช้” เขายิ้ม

“แสดงว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้คืน”

“คุณลืมไปแล้วเหรอ สัตว์พวกนั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นพวกมีเขา พวกเขาช่วยกัน ช่วยเหลือจากน้ำมือของมนุษย์ เขาพาเพื่อนเผ่าพันธุ์กลับบ้านต่างหาก ทำมาตั้งนานแล้ว พวกเราไม่รู้เฉยๆ บางทีก็สำเร็จ บางฝูงก็ไม่สำเร็จ”

“แล้วคุณจะช่วยผมสองคนยังไง”

“ง่ายมากเลย โลกใบนี้ เขาไม่ใช้เงิน แต่โลกทุกใบต้องมีการแลกเปลี่ยน ผมมีเครดิต ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย เพราะวัวควายที่ผมพามาสร้างเครดิตให้ผมตั้งเยอะ” พูดไปด้วยถูมือกระหยิ่มไปด้วย

ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าผมกำกำปั้นตั้งแต่ตอนไหน

“ใจเย็นๆ ทุกอย่างในทุกโลกมีข้อแลกเปลี่ยน มีได้มีเสีย ถึงคุณไม่ชอบมัน ไม่สามารถปฏิเสธมันได้หรอก โมโหไปก็เปล่าประโยชน์ จำไว้เลยว่าตอนนี้คุณต้องช่วยเหลือตัวเองและลูกน้องคุณก่อน”

“จะให้ผมเอาอะไรมาแลกกับคุณ”

เขานั่งไขว้ขา “ตอนนี้ ผมไม่เอาอะไรจากคุณ อยากช่วยคุณ แต่ถ้าผมต้องการความช่วยเหลือแล้วคุณช่วยได้ คุณต้องช่วยอย่างไม่มีข้อแม้ ตกลงไหม รีบๆ คิดหน่อยก็แล้วกัน ผมไม่ได้ว่างมาก มีธุระที่ต้องไปทำอีกเยอะแยะ”

นี่เป็นการมัดมือชกชัดๆ

“ไม่ดีกว่า ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมรู้แล้วจะเอาอะไรจากคุณ อิสรภาพของคุณมันมีราคา เอาอย่างนี้ คิดออกแล้ว พวกมีเขาอยากได้พี่น้องมันมาอยู่โลกนี้ ถ้าในท้องที่คุณมีฝูงสัตว์หายอีก คุณต้องจัดการให้เรียบร้อย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำได้ไหม อย่างนี้ค่อยแฟร์หน่อย สัตว์ก็เป็นอิสระ คุณก็ได้อิสระคือได้กลับบ้าน ผมก็ได้เครดิต ตกลงตามนี้นะ”

จ่ามืดจับบ่าผม หลังจากเห็นผมนิ่งอยู่นาน

ผมเข้าความหมายเป็นอย่างดี ผงกหัว

“โอเค เป็นอันตกลงตามนี้นะ” พูดจบแล้ว ส.ส.ก็ลุกขึ้น ให้สัญญาณเจ้าของโลกใบนี้ดำเนินการต่อไป

 

ยังมีเรื่องที่เหลือเชื่อกว่าโลกใบที่ทับซ้อนกันอีก ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ได้กลับมาโลกมนุษย์ กลับมาพบกับผู้คนประเภทนี้ คนที่พร้อมจะหาประโยชน์ใส่ตัวเอง ไม่ได้สนใจอะไรในโลก ไม่เคยคิดว่าจะเกิดผลกระทบอะไรตามมา ใครจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจ ขอให้ข้าได้ประโยชน์แค่นั้นพอ

“อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้นะสารวัตร ผมมั่นใจว่าคุณเป็นคนรักษาสัจจะ” เสียงกำชับของ ส.ส.ก้องในหู “ผมทำธุระแป๊บเดียวก็จะตามออกไป ไม่ต้องรอผมอยู่ทางเข้ามิติที่คุณเข้ามานะ เพราะทางลาดยางในจังหวัดนี้เป็นฝีมือผมทั้งนั้น”

เหตุการณ์ในวันนั้นปลุกให้ผมรู้ว่าทางลาดยางมีหลุมมีบ่อไว้ทำไม