จับสัญญาณยิ้ม ‘บิ๊กป้อม’ จับสัญญาณ 3 ป. กับปฏิบัติการ เกาะติด ‘ธรรมนัส’ และ ‘2 ป.’ เสริม พปชร./รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

จับสัญญาณยิ้ม ‘บิ๊กป้อม’

จับสัญญาณ 3 ป.

กับปฏิบัติการ

เกาะติด ‘ธรรมนัส’

และ ‘2 ป.’ เสริม พปชร.

 

สถานการณ์ทางการเมืองดูเหมือนจะนิ่งสงบแล้ว แต่ทว่า มีคลื่นสึนามิก่อตัวอยู่ใต้ทะเล

ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กับพี่ใหญ่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่นั่งยึดเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอยู่ ดูเหมือนจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น หลังจากควงกันไปไหว้พระที่อุดรธานี มีการโชว์ภาพของการประคอง เดินจับจูงมือกันพี่น้อง สยบข่าวร้าว 3 ป.

แถมทั้งยังโชว์ภาพกินข้าวกลางวันกันที่ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หลังจากไปร่วมฟังการแถลงแผนของ กอ.รมน. เมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา แบบที่เรียกว่า นั่งกินข้าวและคุยกันแค่ 3 คนเท่านั้น ไม่มีคนอื่นร่วมโต๊ะ เพราะล้วนต้องการเปิดโอกาสให้พี่น้องได้คุยกันทุกเรื่อง สูบไปป์คุยกันอารมณ์ดี

ที่สำคัญคือมีการถ่ายภาพพี่น้อง 3 ป.ชื่นมื่น กอดหลัง จับพุง จับมือกัน และส่งให้นักข่าวเพื่อเผยแพร่ สยบข่าวร้าวของ 3 ป. เป็นครั้งแรกอีกด้วย หลังจากที่มีปัญหาความแตกแยกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลูกรัก พล.อ.ประวิตรออกจาก รมช.เกษตรฯ

อันเป็นความต้องการที่จะส่งสัญญาณให้กองเชียร์ของพี่น้อง 3 ป.เห็นว่า กลับมารักกันดังเดิม เพื่อยุติปัญหาการแตกแยกกันเองในหมู่กองเชียร์

แถมทั้งเป็นช่วงที่ พล.อ.ประวิตรดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษต่อเนื่องมาหลายวันจนเป็นที่สังเกตของคนใกล้ชิด ถึงขั้นที่ออกมายืนชมดาวศุกร์ที่ส่องสว่างสดใสที่สุด เมื่อคืน 7 ธันวาคมที่ผ่านมา และมีความเชื่อด้วยว่าจะทำให้มีสิ่งดีๆ ตามมา รวมทั้งความสดชื่นแจ่มใส หลังประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อบต. ที่คุยว่าได้ถึง 4,500 ที่นั่ง

เพราะนอกจากจะสกัดกั้นพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้าได้แล้ว ยังเป็นการเช็กฐานเสียง ที่ยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งครั้งหน้าได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าการเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบกว่าก็ตาม แต่ พล.อ.ประวิตรก็มั่นใจในกลยุทธ์ไม้เด็ดที่เตรียมไว้ในเรื่องของการดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเข้าพรรคพลังประชารัฐ ได้อีกไม่น้อยกว่า 40 คน

แต่ทว่า ในฝั่งของ พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่มั่นใจในหมากเกมการเมืองของพี่ใหญ่ ว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ จะเอาอยู่หรือไม่ จะชนะพรรคเพื่อไทยจริงหรือไม่ โดยมีการวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะ พล.อ.ประวิตรประเมินสถานการณ์จากข้อมูลที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร. รายงานเชิงบวกให้รับทราบตลอด โดยเฉพาะการดูด ส.ส.เพื่อไทยเข้าพรรค

จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวยงาม กลิ่นหอม แต่ทว่า บนถนนสายการเมือง หาใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ไม่

เพราะเวลานี้ ยังมีความพยายามที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ร.อ.ธรรมนัสในแง่ลบต่อ พล.อ.ประวิตร เพื่อไม่ให้ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัสจนเกินไป ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัสจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยบ้าง จะย้ายพรรคไปพรรคภูมิใจบ้าง หรือการแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่บ้าง

แถมมีข่าวลือสะพัดในฝ่ายทีมจันทร์โอชา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้หลักฐานสำคัญถึงความเคลื่อนไหวของบางคนใน พปชร.

โดยเฉพาะการโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่พำนักอยู่ดูไบเป็นส่วนใหญ่

งานนี้ถึงขนาดมีการกล่าวอ้างว่าฝ่ายความมั่นคงต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจสอบเพื่อนำหลักฐานให้นายกรัฐมนตรีและ พล.อ.ประวิตร

แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประวิตรจะไม่ได้ให้ความสนใจ หรือแปลกใจใดๆ จึงคาดกันว่า พล.อ.ประวิตรน่าจะรับรู้ในทุกสิ่งที่บางคนเคลื่อนไหว เพราะมีรายงานว่าเจ้าตัวได้แจ้งให้ พล.อ.ประวิตรรับทราบ ทั้งการไปคุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทย เช่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรค รวมถึงการต่อสายคุยกับนายทักษิณ

ที่อาจทำให้เข้าใจได้ว่า พล.อ.ประวิตรก็ย่อมมีแผน มีกลยุทธ์ของตนเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือก่อนหน้านี้ว่าเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ จะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก

และจะไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะประกาศว่าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคก็ตาม เพราะยังคงมีกระแสข่าวการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 2 และเบอร์ 3 ด้วย

จึงทำให้ฝ่ายกองเชียร์บิ๊กตู่ยิ่งหวาดระแวงในตัว พล.อ.ประวิตรมากขึ้น ว่าจะไปจับมือกับนายทักษิณจริงหรือไม่ เพราะสายสัมพันธ์เดิมก็มีกันอยู่ โดยเฉพาะผ่านทางบ้านจันทร์ส่องหล้า

ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัสซึ่งจะเกี่ยวข้องเรื่องนี้หรือไม่ ไม่มีใครยืนยัน แต่ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่เคยคุยกับนายทักษิณ แต่ยืนยันว่าไม่เคยคุยเรื่องที่ทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย

รวมทั้งยืนยันว่าจะไม่ย้ายพรรคไปไหน จะอยู่กับ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าไปไหนผมก็จะไปด้วย

แต่ทว่า ธงของ พล.อ.ประยุทธ์ในเวลานี้คือ จะยังอยู่พรรคพลังประชารัฐอยู่ แต่มีเป้าหมายในใจที่จะเปลี่ยนเลขาธิการพรรคต้องไม่ใช่ ร.อ.ธรรมนัส แต่จะทำอย่างไรให้ พล.อ.ประวิตรเห็นคล้อยตาม เพราะ พล.อ.ประวิตรยังคงชื่นชมในการทำงานของ ร.อ.ธรรมนัสที่ทำได้ผลดีและประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่สั่งการ

แต่ห่วงกันว่า พล.อ.ประวิตรจะพลาดพลั้งเสียทีนายทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เอง ทางเลือกมีไม่มากนัก ที่จะย้ายไปตั้งพรรคใหม่ หรือไปอยู่พรรคใหม่

แต่ก็ยังมีกองเชียร์ที่จะให้แยกพรรค จึงสังเกตได้ว่าตอนนี้พรรคใหม่ของปลัดฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ยังคงเงียบอยู่ แต่ไม่ได้แปลว่า จะไม่เดินหน้า “พรรคเศรษฐกิจไทย” ต่อ แต่รอความชัดเจนทิศทางทางการเมืองและความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป.

เพราะยังถูกมองว่าพรรคนี้เป็นพรรคของบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่อยู่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องยังคงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป ในขณะที่ทีมงานก็เดินเกมที่จะกดดันให้มีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคต่อไป

จึงไม่แปลกที่เมื่อม็อบชาวจะนะบุกทำเนียบฯ จนมีการสลายม็อบเพราะกลัวว่าจะมีกลุ่มอื่นเข้ามาแทรกซ้อน แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะออกมาตำหนิข้อตกลงเอ็มโอยู ที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยทำไว้กับ “กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น” โดยระบุว่า ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่แค่รับทราบเท่านั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นข้อตกลง และมอบหมายให้นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แกนนำกลุ่มสามมิตร ที่เป็นคู่กรณีกับ ร.อ.ธรรมนัส ไปตามสางแก้ปัญหาเรื่องนี้แทน จนทำให้ ร.อ.ธรรมนัสต้องออกมาชี้แจงตอบโต้

ไม่แค่นั้น ยังมีกระแสข่าวลือทำนองเกิดความสงสัยว่าทำไม พล.อ.ประวิตรจึงได้รัก ร.อ.ธรรมนัสอย่างมาก จนมีการตั้งข้อสังเกตกันเรื่องในทางไสยศาสตร์

จน พล.อ.ประยุทธ์ชวน พล.อ.ประวิตรลงพื้นที่อุดรธานี ไปไหว้พระที่วัดป่าบ้านตาด ของหลวงตามหาบัว แล้วยังชวนไปวังนาคินทร์ คำชะโนด ด้วย จนเกิดกระแสข่าวลือว่า พล.อ.ประยุทธ์พา พล.อ.ประวิตรไปแก้มนตร์ดำ และผูกดวงเข้าด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยผูกดวงพี่น้อง 3 ป.ด้วยกันมา ตั้งแต่สมัยยังอยู่ในกองทัพ ที่วัดดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

ข่าวนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่พอใจมาก ถึงขั้นลั่นวาจาว่า บ้าไปแล้ว ใครจะไปทำแบบนั้น ฉันไม่ทำหรอก

ตรงกันข้ามในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรกลับมีหน้าตาสดใส อารมณ์ดีที่สะท้อนถึงความสบายใจและมั่นใจในเส้นทางการเดินบนถนนทางการเมือง การดูแลพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นที่คุยว่าจะมีคนไหลเข้าพรรคพลังประชารัฐอีกหลายคน

ไม่แค่นั้น ในระหว่างที่ พล.อ.ประวิตรเสริมทีมงานด้วยการดึงนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่เกษียณราชการแล้วหลายคนที่เป็นทีมงานรองนายกรัฐมนตรี เกมตึกบัญชาการ 1 มาช่วยงานพรรคพลังประชารัฐ อันเป็นสัญลักษณ์ของการยึดพรรคแบบเบ็ดเสร็จ

เพราะนอกจากมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรค มีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นเหรัญญิกพรรค คุมการเงิน และมีบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคแล้ว

ยังมี พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ลูกรักอีกคนมาเป็นเลขานุการส่วนตัวและช่วยทำงานในด้านต่างๆ

ในด้านการทำพื้นที่ พล.อ.ประวิตรมอบให้บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องรักในสายเลือด ช่วยดูแลทำพื้นที่ภาคอีสาน และมีบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ไปช่วยเสริมอีกแรง ในการดูแลอีสานเหนือ

และมีบิ๊กอิ๊ด พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ช่วยดูแลอีสานใต้

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงเดินหน้าทำงานทางการเมืองด้วยตนเองต่อไปเพื่อไม่ให้ขาลอย โดยยังมีเสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ส.ว.สายทหารเสือราชินีน้องรักบิ๊กตู่ เป็นมือทำงานหลักร่วมกับบิ๊กสน พล.ท.สนธยา ศรีเจริญ อดีตแม่ทัพน้อยที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 19 ของเสธ.อ้นที่ยังเดินงานในภาคอีสาน

และมีเสธ.หิ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ น้องรักสายสีเทา ซึ่งเคยเป็นทหารเสือฯ อยู่ ร.21 รอ. ด้วยกัน มาช่วยอีกแรงหนึ่ง

และมีนายทหารสายจันทร์โอชาอีกหลายคนที่ช่วยทำงานแบบลับๆ ใต้ดินในทางการเมืองให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ รวมทั้งบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ.

ขณะที่ในพรรคพลังประชารัฐก็มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ถูกส่งเข้าไปเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร. และกลุ่มสามมิตร และ รมต.อีกหลายคน

 

แม้พี่น้อง 3 ป.จะโชว์ภาพชื่นมื่น กอดรัดฟัดเหวี่ยง กินข้าว สูบไปป์ด้วยกัน แต่รอยร้าวในใจบนเส้นทางที่ผ่านมา ก็ยังไม่อาจสมานให้เป็นเนื้อเดียวกันได้เช่นเดิม

เพราะยังมีการตีกันอยู่ในการคานอำนาจ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในหลายระดับที่ผ่านมา เป็นที่รู้กันว่า พลังของ พล.อ.ประวิตรในวงการสีกากี ลดน้อยลง เพราะนายตำรวจที่ พล.อ.ประวิตรสนับสนุนส่งชื่อให้นายกฯ พิจารณาไปจำนวนมากนั้น ได้ขยับน้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

อีกทั้งบิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ก็ถือว่าเป็นสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ก็นั่งเป็นประธาน ก.ตร. และ ก.ตช. คุมตำรวจเบ็ดเสร็จ จนทำให้สีกากีไม่ค่อยเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ เช่นแต่ก่อน บารมีของ พล.อ.ประวิตรในวงการสีกากีจึงลดน้อยลง

แน่นอนว่าย่อมทำให้ พล.อ.ประวิตรไม่แฮปปี้นัก แต่ก็พูดอะไรไม่ได้มากเนื่องจากว่าเป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี

ส่วนเรื่องในพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรถือว่ามีอำนาจเต็มที่ในการที่จะบริหารจัดการ หรือจะเอาใครมาช่วยงาน หรือแม้แต่จะนำพาพรรคพลังประชารัฐไปในทิศทางใด

ท่ามกลางความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. ที่แม้จะพยายามโชว์ภาพความชื่นมื่นสยบรอยร้าวก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครมั่นใจว่ารอยร้าวเหล่านั้นจะถูกสมานให้กลับมาดังเดิมได้

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงไม่มั่นใจในหมากเกมกลยุทธ์ของ พล.อ.ประวิตร ว่าจะนำพาประเทศไปอย่างไร และจะหนุนตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี เช่นที่ประกาศจริงหรือไม่เมื่อถึงเวลา ยิ่งหากมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นมือทำงาน และเป็นกุนซืออยู่เช่นนี้ ดังนั้น พี่น้อง 3 ป. ยังมีปัญหาที่ท้าทายความเป็นพี่น้องอยู่เบื้องหน้าอีกมาก

ขณะที่ความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์กับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก็ยังคงถูกจับตามองเขม็ง จึงไม่แปลกที่ในการประชุมใหญ่ กอ.รมน.เมื่อวันพุธที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์พร้อม พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ จะปิดห้องคุยกับทั้งบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกลาโหม บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์ พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. และบิ๊กไก่ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.

ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยเรื่องงานความมั่นคง การดูแลชายแดน ยาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว และเป็นการพูดคุยทักทายกันแบบสบายๆ พี่น้อง

โดยมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่คุยเรื่องการเมืองกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะกับ พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เป็นทหารคอแดง แต่ ผบ.เหล่าทัพพร้อมสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

“ผบ.เหล่าทัพกับนายกฯ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดเพราะสถานการณ์โควิด แต่ก็มีการติดต่อพูดคุยสั่งงานกันตลอด เพราะกองทัพก็พร้อมปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลในทุกเรื่อง”

เพราะไม่ว่าพี่น้อง 3 ป.จะเป็นอย่างไร กองทัพก็ยังคงต้องเป็นกองทัพต่อไป ไม่ไปเกี่ยวข้องกับการเมือง