ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
จุดยืนไทย
บนจุดเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก
ประเทศไทยต้องวางตัวอย่างไรในภาวะที่สหรัฐกับจีนกำลังพันตูกันอย่างเข้มข้นในเกือบทุกเวที
เป็นหัวข้อใหญ่ที่ผมมีโอกาสตั้งวงเสวนากับผู้รู้ 3 ท่านเมื่อเร็วๆ นี้ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2021
หัวข้อทางการคือ Cold War 2.0 : How Will Thailand Cope With Superpowers?
นั่นหมายถึงจุดยืนของประเทศไทยบนจุดเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก
ผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผมเปิดด้วยหัวข้อที่กำลังร้อนและตรงกับประเด็นที่วางเอาไว้ล่วงหน้าว่าที่ไทยไม่ได้รับเชิญจากสหรัฐ ให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดประชาธิปไตยหรือ Democracy Summit ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้น มีความหมายต่อสถานภาพของไทยเราในเวทีโลกอย่างไร
เพราะไบเดนเชิญ 110 ชาติ แต่ไร้ชื่อประเทศไทย
คุณดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบกระทู้ของฝ่ายค้านว่า
นี่เป็นเกมการเมืองล้วนๆ และเป็นการที่ประเทศหนึ่งนำไปใช้เล่นงานอีกประเทศหนึ่ง
คุณดอนบอกว่า การเชิญหรือไม่เชิญไม่น่าจะสำคัญ ความจริงบางครั้งไม่เชิญก็ดี เพราะถ้าเชิญมา ไทยอาจต้องพิจารณาว่าควรไปหรือไม่ไป
ในความเห็นของผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศนั้น การเชิญอาจเป็น “ดาบสองคม” ด้วยซ้ำ
ท่านบอกว่าถ้าไม่ได้รับเชิญก็ไม่ต้อง “กระทืบเท้าด้วยความเสียใจ”
หรือถ้าได้รับเชิญก็ไม่ควรจะต้องลิงโลดใจ
ดร.สุรเกียรติ์มองว่าในอดีตเคยมีการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ซึ่งไทยก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
ดร.สุรเกียรติ์บอกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมการเชิญหรือไม่เชิญจึงเป็น “ดาบสองคม” และไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียอะไร
หากไทยได้รับเชิญก็สามารถไปพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยว่าแต่ละประเทศมีประชาธิปไตยที่ไม่เหมือนกัน
โดยประชาธิปไตยของไทยก็มีวิวัฒนาการมา 80 ปี มีการเปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประเทศไทย
แต่ที่บอกว่าไม่เชิญก็ดีแล้ว หรือเชิญก็อาจจะไม่ไป อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่าไม่เห็นด้วยนัก
“เราควรนำมาวิเคราะห์กันมากกว่าว่าที่เขาไม่เชิญเราเพราะอะไร”
ดร.สุรเกียรติ์ตั้งข้อสังเกตว่า ดูจากรายชื่อประเทศที่ไบเดนเชิญ ก็มีประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย เช่น สวีเดน เดนมาร์ก ญี่ปุ่น หรือนอร์เวย์
จึงน่าสนใจว่าทำไมเขาไม่เชิญเรา
ควรมาวิเคราะห์ว่าถ้ามีเหตุผลว่าไทยไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องอะไร เราก็จะสามารถแก้ไขได้
หรือเราคิดว่าเราดีแล้ว เขาไม่เชิญ เราก็ไม่ไป แล้วเราก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ แบบนี้
อย่างนี้ ดร.สุรเกียรติ์มองว่าไม่ถูกต้อง
เพราะแม้แต่ประชาธิปไตยของสหรัฐเองก็มีเรื่องต้องปรับปรุงและของไทยก็มีเรื่องที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย โดยเฉพาะกระบวนประชาธิปไตยของเรา
ดร.สุรชาติบอกว่า เรื่องนี้โดยตั้งคำถามย้อนกลับว่า สหรัฐจะเชิญไทยไปเพื่ออะไร
“เราควรพิจารณาตัวเราเองว่าสถานะของไทยในวันนี้ เขาควรเชิญไหม”
ดร.สุรชาติมองว่า สหรัฐไม่เชิญเรา ถูกต้องแล้ว ส่วนที่บอกว่าไทยไม่อยากไป เป็นการสำคัญตัวเองผิด
พร้อมชวนตั้งคำถามอะไรคือจุดขายของไทยให้รัฐบาลสหรัฐเชิญ
เสริมด้วยข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลสหรัฐคนไหนที่เดินทางมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วไม่แวะไทย คำถามคือเกิดอะไรขึ้น เพราะสหรัฐไม่เคยทิ้งไทย เมื่อมองในด้านจุดยุทธศาสตร์
“โจทย์ใหญ่ที่สุดของไทยในเวลานี้คือ เราจะสร้างจุดขายของรัฐไทยในเวทีโลกอย่างไร ปีนี้เราเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ของศตวรรษที่ 21 สองทศวรรษผ่านไป คำถามเดิมคืออะไรคือจุดแข็งของไทย อย่าบอกนะครับว่าเราจะขายการรัฐประหารให้เป็นตัวแบบ” ดร.สุรชาติกล่าว
ดร.อาร์มกล่าวถึงประเด็นจุดยืนไทยว่าต้องรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจ
การรักษาสมดุลนั้นสามารถทำได้สองแบบ
แบบแรกคือการรักษาสมดุลเชิงตั้งรับ
ยกตัวอย่างเช่น เรากลัวว่าไปสนิทกับอเมริกา แล้วทำให้จีนโมโห หรือสนิทกับจีนแล้ว ก็กลัวทำให้อเมริกาโมโห
จึงไม่ทำอะไรเลย
ดร.อาร์มมองว่าการรักษาสมดุล ควรเป็นการรักษาสมดุล “เชิงรุก”
โลกทุกวันนี้เป็นโลกทวิภพ โลกสองขั้วอำนาจ มีมหาอำนาจที่ชัดเจนคือสหรัฐ ซึ่งยังเป็นผู้นำโลกอยู่ และจีนซึ่งเป็นเบอร์สองที่ขึ้นมาเร็วมาก
ขณะเดียวกันวันนี้จีนมีขนาดเศรษฐกิจขึ้นมาเป็น 70% ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ มีประเทศ 2 ใน 3 ของโลกค้าขายกับจีน มากกว่าค้าขายกับสหรัฐ
“โจทย์ของผู้นำโลกเหมือนกันคือจะทำอย่างไร ถ้าจะสนิทกับสหรัฐ โดยที่ไม่ทำให้จีนโมโห การรักษาสมดุลเชิงรุกคือเราต้องเป็นเพื่อนกับทั้งสองห่วงโซ่ให้ได้ เป็นเพื่อนกับทั้งสองขั้วอำนาจให้ได้ แล้วก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองขั้วอำนาจก็ต้องการแสวงไทยเป็นเพื่อน…”
ซึ่งก็ย้อนมาสู่คำถามว่าอะไรคือจุดขายของเรา อะไรคืออำนาจต่อรองของเรา อะไรคือจุดอ่อนของเรา”
ธรรมชาติของการเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมโหฬาร
ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคงเพียงอย่างเดียว
แต่มีเรื่องของเทคโนโลยี มีมิติเรื่องเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางการเมือง คุณค่าทางการเมือง ซึ่งพัวพันกันไปหมด
โจทย์ทุกวันนี้มีความซับซ้อนขึ้นมาก
หากพูดถึงงานเลี้ยงทางการเมืองที่ไม่เชิญเรา แต่งานเลี้ยงเศรษฐกิจเขาอาจจะเชิญเราก็ได้ เพราะปัจจุบันทุกมิติเชื่อมโยงกันหมด
ดร.สุรเกียรติ์เสริมว่าจุดยืนไทยนั้นชัดเจนคือเราไม่ต้องการเลือกข้าง
ไทยต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐและจีน
เราต้องการให้เกิดความสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐ หรือแม้แต่กับรัสเซีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นการ “รักษาสมดุลในเชิงรุก”
ไม่ใช่กลัวว่าเราคุยกับใครแล้วจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
สิ่งสำคัญคือเราต้องมียุทธศาสตร์ว่าจะสร้างสมดุลอย่างไร
นั่นคือการกระจายให้เกิดความพอดี
การเยือนของผู้นำหรือการประชุมในเวทีต่างๆ ควรมีการบริหารจัดการให้เกิดความพอดี กล่าวคือ มีวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์
ความพอดีนี้จะนำไปสู่ประเด็นว่าเราต้องหาจุดขาย ไทยต้องอยู่ใน “จอเรดาร์” ของประชาคมโลก
เช่น เราคุยอะไรกับจีนที่ภูมิภาคอยากฟังแล้วได้ประโยชน์
“ยกตัวอย่างว่า สมมุติว่าเราคุยกับสหรัฐ ว่าเราจะช่วยเมียนมาในเรื่องมนุษยธรรมได้อย่างไร ก็อาจเปลี่ยนเป็นจุดขายของไทยได้ในเรื่องความร่วมมือ เพราะไบเดนกับ (รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐแอนโทนี) บลิงเคนก็บอกเองว่าจะช่วยเมียนมาในเรื่องนี้ผ่านทางประเทศไทย”
ดร.สุรเกียรติ์ย้ำว่าในหลายกรณีไทยไม่ควรเลือกใช้ Quiet Diplomacy หรือการทูตที่ไม่เป็นข่าว
แต่ต้องใช้การทูตที่เป็นข่าว มีจุดยืนให้ประชาคมโลกได้เห็น
ไทยสามารถเป็นตัวเชื่อมที่ดึงอาเซียน สหรัฐ ญี่ปุ่น อียู เข้ามา เราจะอยู่ในจอเรดาร์
เราวางจุดยืนเชิงรุก เพราะเราคุยกับเมียนมาได้ แปลงเรื่องความสัมพันธ์กับเมียนมาให้เป็นสินทรัพย์ โดยสามารถเชิญหลายประเทศมาร่วมมือแก้ปัญหาได้
ไทยเป็นสะพานเชื่อมได้เหมือนกับอาเซียน เราสนิทกับอเมริกา สนิทกับจีน สนิทกับอาเซียน ประเทศมุสลิม มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพื่อนบ้าน
(สัปดาห์หน้า : การทูตล่องหน)