ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | จะนะบนเส้นทางของรัฐทหาร-เจ้าสัว-พรรคการเมือง

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

จะนะเป็นหนึ่งในทะเลที่สวยงามและอุดมด้วยธรรมชาติที่สุดในอ่าวไทย คนเคยไปจะนะทุกคนจะรักจะนะ

และเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มสนับสนุนการทำลายทรัพยากรเอาไปอ้างในทางที่ผิดๆ ควรระบุด้วยว่า “ธรรมชาติ” ของจะนะมีด้านที่เป็น “ทรัพยากร” ซึ่งมีมูลค่า 19,746,241.75 บาทต่อเดือน

จากงานวิจัยของ สกว.เรื่องความมั่นคงทางอาหาร ควน ป่า นา เลในปี 2557 “ธรรมชาติ” ที่จะนะคือแหล่งอาหารทะเลที่มีมูลค่าเศรษฐกิจมหาศาล

แต่น่าแปลกที่ขณะที่ชาวจะนะและงานวิชาการมองเห็น “คุณค่า” และ “มูลค่า” แบบนี้ คุณประยุทธ์กลับมองว่าจะนะเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีอะไรเลย

ในคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีนิพนธ์ บุญญามณี ซึ่งยอมรับตรงๆ ว่ารู้จักนายหน้ารวบรวมที่ดินจะนะไปขายให้เจ้าสัวทำโรงงาน คุณนิพนธ์ตอบว่าจะนะไม่มีอะไร ปลูกได้แต่แตงโม คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสนับสนุนการยึดทะเลจะนะมาทำโรงงานอย่างเต็มที่ ขอแค่ทำประชาพิจารณ์ตามกฎหมายให้ครบเท่านั้นเอง

เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านประเมินต่างจากรัฐบาลเรื่องที่ดินจะนะ “มีอะไร” หรือ “ไม่มี”

แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจะนะหรือเรื่องอื่น คู่ขัดแย้งที่เห็นต่างกันควรมีสถานะเสมอกันจนไม่มีใครเอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ ขณะที่ในกรณีจะนะ ความเห็นคุณประยุทธ์กลับเป็นนโยบายรัฐไปในทันที

ด้วยวิธีคิดคุณประยุทธ์ที่ทำประชาพิจารณ์พอเป็นพิธี ต่อให้ชาวบ้านพูดถูกว่าเรื่องจะนะ “มีอะไร” ก็ไม่มีความหมาย

เพราะคุณประยุทธ์ตั้งใจเอาที่ชาวบ้าน 20,000 ไร่ไปประเคนให้เจ้าสัวทำโรงงานให้ได้ ไม่ว่าจะเพราะเชื่อว่าโครงการมีประโยชน์ หรือเพราะเจ้าสัวสนิทกับพี่ป้อมก็ตาม

แน่นอนว่าคำว่าประเคนที่ให้เจ้าสัวทำโรงงานนั้นตรงจนฟังแล้วระคายใจ แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะเรียกโครงการจะนะว่า “เมืองต้นแบบ” ของ “เขตพัฒนาพิเศษ” หรืออะไร ข้อเท็จจริงก็คือแกนกลางของโครงการนี้คือการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ทั้งหมด เพียงแต่รัฐจงใจไม่ใช้คำนี้แค่นั้นเอง

ฟังอย่างผิวเผิน คำพูดว่าคุณประยุทธ์ตั้งใจเอาที่จะนะไปทำโรงงานคือข้อกล่าวหาที่รุนแรง แต่การยึดพื้นที่จะนะเป็นโรงงานคือ “ผลงาน” ของคุณประยุทธ์ตั้งแต่ต้น เพราะจะนะไม่ได้อยู่ในแผน “เมืองต้นแบบ” ที่รัฐเสนอในปี 2559 แต่มาโผล่วันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ซึ่ง คสช.กำลังจะหมดอำนาจพอดี

ขณะที่ “เมืองต้นแบบ” 3 แห่งในแผนปี 2559 คือปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส มีการศึกษาจนการต่อต้านไม่รุนแรง เหมือน “เมืองต้นแบบ” อย่างจะนะในปี 2562 กลับมีการศึกษาน้อยจนถูกต่อต้านตั้งแต่แรก โดยเฉพาะจากการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีวันที่รัฐบาลมักใช้สำหรับโครงการวางแผนโกง

เพื่อให้เห็นภาพของปัญหานี้ยิ่งขึ้น เจ้าสัวซึ่งได้นิคมอุตสาหกรรมจะนะหลังจากคุณประยุทธ์เสนอในปี 2562 พูดว่าโครงการนี้จะมีขนาดเทียบเท่า “อีอีซี” หรือ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก”

แต่ปัญหาคือขณะที่อีอีซีมีเอกชนหลายเจ้าได้ประโยชน์ โครงการนี้กลับเชื่อมโยงกับเจ้าสัวรายเดียว

เพื่อยกระดับการเห็นภาพรวมของปัญหายิ่งขึ้น อีอีซีมีการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจโดยหน่วยงานรัฐและสถาบันวิชาการ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะกลับมีผู้เสนอคือหน่วยงานทหารอย่าง ศอบต.ช่วงหลังรัฐประหาร และอนุมัติโดยนายกฯ ทหารช่วงรัฐบาลรักษาการ

ด้วยเหตุที่เรื่องทั้งหมดนี้เสนอโดยทหารและอนุมัติโดยนายกฯ ทหารซึ่งเป็นนายของทหารที่เสนออีกที ตัวโครงการจึงมีพิรุธเหมือนโครงการอื่นๆ ของรัฐบาลทหาร ซ้ำยังเป็นความพิรุธที่ผู้ได้ประโยชน์โดยตรงคือเจ้าสัวรายใหญ่ซึ่งสนิทกับพี่ใหญ่ของทหารแทบทุกคน

โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะคือภาพสะท้อนการรวมตัวเพื่อผลประโยชน์ของทหารการเมือง, นักการเมือง และกลุ่มนายทุนระดับชาติ คนกลุ่มนี้ถักทอเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีการช่วยเหลือและจัดสรรผลประโยชน์แก่กันละกันในยุคเผด็จการอย่างน่ากลัว

คุณประยุทธ์และรัฐมนตรีนิพนธ์พูดเหมือนเจ้าสัวว่าที่ดินจะนะไม่มีอะไร ปลูกได้แค่แตงโม ส่วนการเวนคืนที่ชาวบ้านไปสร้างโรงงานให้เจ้าสัวจะทำให้ชาวบ้านมีงานทำเยอะไปหมด การผลักดันโครงการจึงสะท้อนว่าเสียงชาวบ้านเรื่อง “คุณค่า” และ “มูลค่า” ของจะนะนั้นไม่มีใครฟังเลย

มองในแง่นี้ นอกจากนิคมอุตสาหกรรมจะนะจะสะท้อนเครือข่ายอุปถัมภ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของนายพล, เจ้าสัว และนักการเมือง โครงการนี้ยังเป็นหลักฐานว่าเครือข่ายผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้ไม่สนใจชาวบ้านมากกว่าการเป็นลูกจ้างในโรงงาน ถัดไปก็คือขายของให้คนงานเท่านั้นเอง

 

จะนะอยู่ในพื้นที่ซึ่งพรรคที่มีอิทธิพลคือพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ แต่ทั้งคู่หนุนนิคมจะนะ ซ้ำรัฐมนตรีของพรรคยังได้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งจากโครงการ ชาวจะนะที่ต่อต้านโครงการนี้จึงต้องต่อสู้ในพื้นที่กับทหาร, รัฐบาล, ประชาธิปัตย์, พลังประชารัฐ และเจ้าสัวไปตลอดเวลา

ประเทศไทยยุคที่เป็นประชาธิปไตยเคยมีหลักการว่านโยบายสาธารณะต้องจัดทำบนการมีส่วนร่วมของประชาชน และหลังจากประชาธิปไตยคงอยู่ได้สักพัก เราเริ่มพัฒนาไปสู่จุดที่การดำเนินนโยบายต้องมีการกำกับและรับฟังประชาชนด้วย ขณะที่ยุคประยุทธ์ทำลายเรื่องแบบนี้ไปสิ้นเชิง

จะนะเป็นโครงการสาธารณะที่เสียงจากชาวบ้านหรือ “สังคม” ไม่เคยมีอยู่ในการกำหนดนโยบาย ความทุกข์, ความลำบาก และความกังวลของชาวบ้านจึงไม่มีอยู่ในกำพืดของโครงการนี้

มีก็แต่การกำหนดนโยบายบนอวิชชาของรัฐที่มุ่งตอบสนองความละโมบของอภิมหาเศรษฐีเป็นสำคัญ

พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลใช้สภาตรวจสอบการเอื้อประโยชน์ที่ประมุขของรัฐเผด็จการมีต่อเจ้าสัวมาเป็นเวลาสองปี แต่การตรวจสอบนี้ผ่านไปโดยไม่สามารถทำให้รัฐบาลมียางอายจนฟังประชาชนมากขึ้น โครงการจะนะจึงเดินหน้าโดยไม่มีเสียงประชาชนจริงๆ แม้แต่นิดเดียว

เมื่อการต่อสู้ในพื้นที่และสภาไม่สามารถยุติการยึดที่ชาวบ้านไปประเคนให้นายทุน การเมืองบนท้องถนนย่อมกลายเป็นทางออกที่ชาวบ้านใช้เป็นที่พึ่งในเวลาที่ทางออกอื่นไม่มีอีกแล้ว

แต่ในที่พึ่งแห่งสุดท้ายของชาวบ้านก็ถูกคุณประยุทธ์ทำลายลงไปอย่างไม่มีชิ้นดี

เจ็ดปีของคุณประยุทธ์คือเจ็ดปีด้านการใช้กำลังกับประชาชน และการสลายการชุมนุมชาวจะนะถือเป็นหนึ่งในเรื่องอัปยศที่สุดที่เกิดด้วยน้ำมือคุณประยุทธ์ เพราะชาวบ้านชุมนุมสันติที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ แต่รัฐบาลอ้างว่าชาวบ้านแพร่เชื้อโรค เกะกะ ฯลฯ จนตำรวจจับชาวบ้านไปดำเนินคดี

จะนะคือโครงการที่รัฐละเมิดประชาชนตั้งแต่ต้นจนจบ ซ้ำการละเมิดยังอำมหิตถึงขั้นประชาชนที่ต่อสู้ว่าถูกละเมิดก็ถูกรัฐยัดคดีอีกที ยิ่งกว่านั้นคือคุณประยุทธ์ฉีกข้อตกลงของรัฐกับชาวบ้านที่ทำโดยคุณธรรมนัส พรหมเผ่า โดยอ้างว่าตัวเองไม่เกี่ยว ต่อให้คุณประยุทธ์จะลงนามตั้งคุณธรรมนัสแก้ปัญหาก็ตาม

ชาวบ้านจะนะประกาศสู้กับโครงการนี้ขั้นเอาชีวิตไปเดิมพัน และความแน่วแน่ของชาวจะนะในการต่อสู้ก็ประจักษ์ชัดมาตั้งแต่สมัยต่อต้านโครงการท่อก๊าซยี่สิบปีก่อน

แต่ตอนนี้ชาวจะนะสู้กับรัฐบาลที่การจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างนายพล-เจ้าสัว-พรรคการเมืองแข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย

ด้วยคำสั่งของคุณประยุทธ์ที่ให้ ศอบต.แก้ปัญหาจะนะให้ไว รัฐบาลกำลังส่งทหารไปจัดการปัญหาชาวบ้านที่มีความซับซ้อนอย่างที่สุด ไม่ต้องพูดว่า ศอบต.คือหน่วยงานที่เสนอโครงการจะนะช่วงรัฐบาลใกล้พ้นวาระปี 2562

จนเห็นชัดว่าปัญหานี้ไม่มีทางจบแบบที่ชาวบ้านต้องการได้เลย

จะนะคือตัวอย่างของการละเมิดประชาชนที่รัฐวนเวียนอยู่กับการใช้ทหารและความรุนแรง ปัญหาจะนะไม่มีทางออก จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศที่มีผู้นำและรัฐบาลซึ่งฟังประชาชนมากขึ้น และไม่อยู่ใต้เครือข่ายจัดสรรผลประโยชน์ของนายพล-เจ้าสัว-พรรคการเมืองอย่างปัจจุบัน

ตราบใดที่คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ตราบนั้นคนทุกกลุ่มในประเทศก็จะเจอปัญหาแบบจะนะไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของแต่ละกลุ่มว่าสามารถทำให้คุณประยุทธ์ฟังตัวเองมากกว่ากลุ่มอื่นหรือไม่

ด้วยวิธีบริหารประเทศแบบคุณประยุทธ์ ประเทศกำลังเข้าสู่การเป็นรัฐที่การใช้อำนาจรัฐไม่ต้องฟังใคร รวมทั้งไม่มีช่องทางให้เสียงประชาชนไปถึงรัฐบาลได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ไม่ว่าจะในสังคมไหน รัฐแบบนี้คือเงื่อนไขเบื้องต้นของการเกิดความรุนแรงครั้งใหญ่ทางการเมืองในระยะยาว