ท่าอากาศยานต่างความคิด / อนุสรณ์ ติปยานนท์ / In Books We Trust (41)

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

 

In Books We Trust (41)

หนังสือชื่อเดียว (13)

 

เขานั่งลงกับพื้น จัดท่าทางราวกับเป็นแมวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง หลังจากนั้นเขาเอามือลูบหัวเจ้าแมวตัวนั้นอย่างแผ่วเบา ในใจพร่ำคำพูดว่า “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ความรู้สึกของการที่ต้องจากสถานที่คุ้นเคยไปนั้นเป็นเช่นไร เขารู้แก่ใจดี เขาระลึกถึงชีวิตวัยเด็กที่ต้องเก็บข้าวของกะทันหันและจากบ้านของตนเองไป

บ้าน คำคำนี้ช่างแลดูศักดิ์สิทธิ์สำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง

ในวัยเด็กครอบครัวของเขามีฐานะปานกลางและฐานะเช่นนั้นทำให้การมีบ้านสักหลังไว้พักพิง ณ ใจกลางเมืองหลวง เป็นสิ่งที่เป็นไปแทบไม่ได้

ครอบครัวของเขาซึ่งประกอบไปด้วยพ่อที่เป็นข้าราชการครูชั้นผู้น้อย แม่ที่มีอาชีพที่กรอกในสมุดพกของเขาว่า “แม่บ้าน” และน้องสาวอีกหนึ่งคนต้องอพยพเร่ร่อนอยู่ไม่รู้วาย

สองปีที่พำนักอยู่ตรงนั้น สามปีที่อยู่อีกที่หนึ่ง การโยกย้ายตำแหน่งไม่ต่างจากปลวกย้ายรังทำให้เขาคิดถึงคำว่าบ้านที่ถาวร คำคำนี้ช่างแลดูศักดิ์สิทธิ์สำหรับเขาเสียเหลือเกิน

  ชีวิตของเขาย้ายบ้านนับครั้งไม่ถ้วน แต่การย้ายบ้านครั้งนั้นเป็นการย้ายบ้านที่เขาจดจำ

 

ช่วงเวลานั้น พ่อของเขาไปรับตำแหน่งครูใหญ่ที่โรงเรียนในชนบทแห่งหนึ่ง แม้ว่าโรงเรียนแห่งนั้นจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก แต่พ่อก็กลับมาบ้านไม่ได้ทุกวัน

ดังนั้น จึงเป็นเย็นวันศุกร์ที่เขาจะนั่งรอพ่ออยู่หน้าบ้านพร้อมกับน้องสาว

ดังนั้น จึงเป็นเย็นวันศุกร์ที่เขาและครอบครัวจะได้กินอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

และดังนั้น จึงเป็นเย็นวันศุกร์ที่แม่จะไปจ่ายตลาด เข้าครัว และเตรียมอาหารอย่างดี พ่อมักจะกลับมาบ้านพร้อมกับหนังสือและนิตยสารจำนวนมากที่พ่อซื้อมาจากท่ารถประจำทาง

เขาจะรับหนังสือเหล่านั้นมาเปิดอ่านอย่างดีอกดีใจ นิตยสารรายสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของนักเลง ภูตผีปีศาจ เรื่องรักประโลมโลกย์ ไปจนถึงนิตยสารพระเครื่องที่แฝงเรื่องราวของเกจิอาจารย์ผู้ทรงเดช

นิตยสารกีฬาที่ประกอบไปด้วยข่าวคราวของนักฟุตบอล นักเทนนิส และอีกหลายอาชีพด้านการกีฬา

นิตยสารผู้หญิงของแม่ที่ประกอบไปด้วยสูตรการทำอาหารและมีนิทานสำหรับเด็กแทรกกลางเล่ม

นิตยสารวิทยาศาสตร์สำหรับผู้ที่สนใจความรู้และวิทยาการสมัยใหม่ ไปจนถึงนิตยสารข่าวอาชญากรรมที่มีรูปภาพชวนหดหู่สลับกับรูปภาพของหญิงสาวในชุดที่ไม่มิดชิดซึ่งในยามนั้นเขาไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร

  นิสัยรักการอ่านของเขาเริ่มต้นในช่วงนั้นเอง

 

นิตยสารจำนวนมากเหล่านั้นทำให้เขาพบว่าโลกช่างมีหนังสือมากมายเสียเหลือเกิน

โลกช่างมีนิตยสาร มีสิ่งพิมพ์ที่ไม่ซ้ำชื่อ ไม่ซ้ำเรื่อง ไม่ซ้ำรูปแบบในการนำเสนอ

โลกช่างเต็มไปด้วยเรื่องเล่าอัศจรรย์นานา หลังอาหารมื้อค่ำสิ้นสุดลง เขาจะช่วยกันกับน้องสาวทำความสะอาดจานชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำดื่มจนสะอาด ก่อนจะนำสิ่งของเหล่านั้นเก็บใส่ตู้ หลังจากนั้นเขาจะหยิบนิตยสารเล่มที่หมายตา ขอตัวพ่อกับแม่ไปที่ห้องส่วนตัวของเขา

เขาจะนอนอ่านนิตยสารเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับการเปิดวิทยุคลื่นเอเอ็มฟังใครสักคนเล่าเรื่องราวของชาดกหรือวรรณกรรม เสียงเพลงไทยเดิมประกอบการเล่าเรื่องนั้นเป็นดังมโหรีชั้นเลิศที่ประกอบการอ่านของเขา

ความหิวกระหายในเรื่องราวทำให้เขาพัฒนาการอ่านอย่างรวดเร็ว เขากวาดสายตา เก็บข้อความที่พบเขาสู่ความคิดคำนึง กระโดดจากเล่มนั้นไปยังเล่มอื่น ร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อนจะหลับไปพร้อมกับเสียงเพลงยามดึกที่ดังออกมาจากวิทยุ

ชีวิตดังกล่าวช่างน่าอภิรมย์นัก

ช่างน่าอภิรมย์จนเขาไม่เคยคิดกังวลว่าเขาต้องมีบ้านอันถาวรเลย

และแล้วพ่อก็ไม่กลับมา

เขาไม่แน่ใจว่าเป็นอาทิตย์ของเดือนไหน ของปีไหน เขาจำได้เพียงว่าเขายังอยู่ในชั้นประถมปลาย บ้านเช่าเป็นบ้านไม้สองชั้นตั้งอยู่ริมคลองในเขตฝั่งธนบุรี ยังคงมีเสียงเรือพายไปตามคลองให้ได้ยินกัน

วันนั้นเขากับน้องสาวนั่งรอพ่อจนมืด มันดึกเสียจนแม้เสียงเรือก็ไม่มีอีกต่อไป

แม่เรียกเขาและน้องสาวให้กินข้าวในที่สุด ก่อนที่แม่จะรับหน้าที่มานั่งเฝ้ารอพ่อ แต่ไร้วี่แววของพ่อ

เขากลับไปที่ห้อง พยายามเข้านอนแต่ข่มตาไม่หลับ เขาคิดถึงนิตยสารที่ไม่ได้อ่าน คิดถึงเรื่องราวที่จะขาดช่วงไป ก่อนจะคิดถึงพ่อ อาจมีเรื่องร้ายต่างๆ นานาเกิดขึ้นกับพ่อ

เขานอนลืมตาเช่นนั้นอยู่จนเกือบรุ่งสางจนได้ยินเสียงแม่อุ่นอาหารที่เก็บไว้ตั้งแต่ตอนเย็น จนได้เวลาบ่าย แม่ถึงได้รับคำตอบ ครอบครัวของเขาได้รับคำตอบ

คำตอบที่ว่าพ่อจะไม่กลับมาอีกต่อไป

ใครบางคนที่เป็นครูโรงเรียนนั้น โรงเรียนเดียวกันกับพ่อนำจดหมายฉบับหนึ่งมา แม่เปิดจดหมายขึ้นอ่านด้วยมืออันสั่นเทา นอกจากตัวจดหมายแล้วเขาเห็นธนบัตรปึกใหญ่อยู่ในซอง

หลังอ่านข้อความในจดหมายจบสิ้นลง แม่ฉีกจดหมายฉบับดังกล่าวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของแม่

เขากับน้องสาวกินอาหารที่เหลืออยู่จนหมด จนตกเย็น แม่ต้มข้าวต้มให้พวกเขากินและบอกเพียงว่าพ่อจะไม่กลับมาที่บ้านอีกต่อไป

เขาและน้องสาวไม่เข้าใจความหมายนั้นดีนัก พ่อประสบอุบัติเหตุหรือว่าพ่อย้ายไปรับราชการยังที่อื่น แม่ไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่เขา

สิ่งเดียวที่เขาและน้องสาวแน่ใจมีเพียงว่าเขาและน้องสาวจะไม่ได้พบกับพ่ออีกต่อไปแล้ว

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน พวกเขาต้องเก็บข้าวของออกจากบ้านอย่างกะทันหัน เจ้าของบ้านเช่าเป็นผู้คอยกำกับดูแลการขนย้ายครั้งนั้น พวกเขาไปอาศัยอยู่ที่บ้านของยายเป็นเวลาอีกหลายสิบปีต่อมา

และไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงกับคำว่ามีบ้านเป็นของตัวเองอีกเลย

 

เขาเอามือลูบหัวเจ้าแมวตัวนั้นอีกครั้งก่อนจะดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว เขาลุกขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะเทอาหารแมวใส่จาน เขาออกจากบ้านหลังจากนั้น เรียกรถรับจ้างไปยังสำนักพิมพ์

เขาถึงที่นั่นก่อนเวลานัดหมายแบบเฉียดฉิว และเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องทำงานของบรรณาธิการ เขาก็พบว่าเขามาถึงตรงเวลาพอดี

บรรณาธิการของเขาเงยหน้าจากแฟ้มกระดาษในมือ ก่อนจะขอให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม

หลังจากนั้นเขายื่นซองจดหมายขนาดใหญ่ ข้างในนั้นเขารู้สึกได้ถึงธนบัตรปึกใหญ่ วูบหนึ่งเขานึกถึงจดหมายที่พ่อมีมาถึงแม่และธนบัตรภายในนั้น

“ค่าแรงอีกงวดของคุณ” บรรณาธิการของเขาเอ่ย

เขาหยิบซองจดหมายนั้นมาวางไว้เบื้องหน้าและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ขอบคุณ และจะขอบคุณมากขึ้นหากคุณจะเล่าเรื่องราวของการย้ายที่อยู่ของคุณ”

บรรณาธิการของเขาพยักหน้า “คุณอยากได้เครื่องดื่มอะไรไหม ผมอาจให้พนักงานไปซื้อให้ได้ แต่หากคุณไม่ต้องการ ผมจะขอเล่าเรื่องราวทั้งหมด มันคงใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว”

   ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ บรรณาธิการจึงเริ่มต้นการเล่าเรื่องของเขาอย่างช้าๆ

 

“เรื่องราวเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของสำนักพิมพ์ งานที่คุณไม่เคยคิดจะไปร่วม” บรรณาธิการของเขากล่าวพลางยิ้ม

“มีผู้คนมากมายมาในงาน แต่แล้วเมื่อเวลาล่วงเลย ผมก็พบว่าหลงเหลือผู้คนอยู่เพียงโต๊ะเดียว เป็นคนที่เรารู้จักกันดี เจ้าของโรงพิมพ์ นักออกแบบปก รวมไปจนถึงบริษัทนำเข้ากระดาษและผู้คนอีกมากที่เพียงแต่เอ่ยชื่อก็เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม มีบุคคลแปลกหน้าอยู่คนหนึ่งที่จนบัดนี้ผมเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเธอปรากฏตนอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร”

“หญิงสาวคนนั้น?”

“ใช่ หญิงสาวคนนั้นเอง ว่าไปแล้วบทสนทนาในคืนนั้นแทบไม่มีเนื้อหาสาระอะไรนักจนหลายต่อหลายคนพากันขอตัวกลับบ้านไป หลงเหลือเพียงผมและผู้คนเพียงหยิบมือ แต่แล้วก็มีใครบางคนหยิบยกประเด็นขึ้นมาว่า เรามีหนังสือมากไปหรือยังในโลกนี้ หรือว่าเรายังมีหนังสือไม่เพียงพอ คำถามที่ว่านี้นำไปสู่การถกเถียงแกล้มเสียงหัวเราะในตอนแรก แต่แล้วมันก็กลับจริงจังขึ้นทุกทีเมื่อหญิงสาวคนนั้นเสนอขึ้นว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีหนังสือมากพอหรือไม่มากพอ เธอเสนอว่าเป็นไปได้ไหมที่ถ้าเรายุติการสร้างหนังสือใหม่ โลกก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย คนอ่านจะรู้สึกถึงความขาดแคลนไหม ธุรกิจการพิมพ์จะหยุดชะงักหรือว่าเข้าที่เข้าทาง หากเราพิมพ์แต่หนังสือที่มีอยู่แล้ว นำมันกลับมาพิมพ์ใหม่เหมือนการสร้างต้นไม้ใหญ่จากต้นตอเดิม มันควรเป็นแบบนั้นหรือว่าเรามีวิธีอื่นที่จะสำรวจความเป็นไปในโลกของหนังสือ”

“ไม่มีบทสรุป นอกเหนือจากการท้าทาย เธอบอกว่าหนทางหนึ่งที่จะขจัดความปรารถนาของคนอ่านคือยังมีหนังสือใหม่ต่อไป ทว่าชื่อหนังสือ แบบปกไปจนถึงน้ำหนักของหนังสือควรเป็นแบบเดียวกัน ถ้าผู้อ่านปราศจากทางเลือกที่หลากหลายหลงเหลือเพียงแต่เนื้อในที่แตกต่าง พวกเขาจะยังคงบริโภคหนังสือต่อไปหรือไม่”

“คำท้าทายนั้นลงเอยด้วยการพนันขันต่อ ผมไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร หากแต่เธอพนันกับผมว่าถ้าโลกเป็นเช่นนั้นจริงแม้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย เธอบอกว่าเธอมีนัดดูตัวกับชายคนหนึ่ง ชายที่ไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน เธอจะสร้างสถานการณ์ให้ชายคนนั้นเชื่อว่าโลกได้ตกอยู่ภายใต้ ‘หนังสือชื่อเดียว’ ส่วนผมจะรับหน้าที่หว่านล้อมให้ชายคนนั้นที่ไม่เคยเขียนหนังสือเขียนหนังสือขึ้นมาภายใต้ชื่อที่ถูกกำหนดไว้แล้ว หนังสือไม่มีความแตกต่าง ปกที่เหมือนกัน น้ำหนักที่เท่ากัน เพิ่มเติมคือผู้เขียนที่ไม่มีใครรู้จัก การเกิดขึ้นของหนังสือเล่มนี้ น่าสนใจทีเดียว”

“มีการพนันขันต่อหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ผมต้องรับผิดชอบโดยตรงคือการหว่านล้อมคุณนั้นเป็นเรื่องที่มีเดิมพันว่าหากคุณตัดสินใจรับงานเขียน ผมจะขายบ้านของผมให้เธอ ซึ่งเป็นข้อแม้ที่แปลกประหลาดเอาการกระนั้นก็น่าสนุกไม่น้อย แม้ว่าผมจะทำงานกับคุณมานานแต่ผมรู้ดีว่าคุณไม่ชอบการเขียน คุณรักการอ่านมากกว่า ดังนั้น หากเธอแพ้ด้วยการที่คุณปฏิเสธงานเขียน เธอจะเป็นนายทุนให้สำนักพิมพ์พิมพ์หนังสืออะไรก็ได้ที่ปรารถนาเป็นเวลาหนึ่งปี ส่วนถ้าเธอชนะ เธอจะซื้อบ้านของผมในราคาที่เป็นธรรม ข้อเสนอดังกล่าวผมได้เปรียบแทบทุกทาง ดังนั้น คุณย่อมเข้าใจได้ว่าผมรับคำท้าเธอแทบจะทันที”

“แต่ผมรับงานเขียนชิ้นดังกล่าว” ชายหนุ่มเอ่ย