ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย
เสียงคน “ถูกไล่”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
คือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก
ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน
เป็นอีกหนึ่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือเอ็นจีโอ ที่เข้ามามีบทบาทในประเทศประเทศไทย
ทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคงมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
จึงถือโอกาสพาทุกคนมาทำความรู้จักกับองค์กรของเรา
แอมเนสตี้เข้ามามีบทบาทในไทยจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519
เป็นความทรงจำอันมืดมนของใครหลายๆ คน
เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทย
เพราะจดหมายนับแสนฉบับที่ถูกส่งมายังรัฐบาลไทยเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุม
มาจากผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทั่วโลก
พ.ศ.2536 เป็นครั้งแรกที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างจริงจัง
มีการเลือกตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่สนใจสิทธิมนุษยชนแขนงต่างๆ ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
และจดทะเบียนในฐานะสมาคมตามกฎหมายไทยภายใต้ชื่อ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
ร่วมทำงานพัฒนาสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความร่วมมือจากผู้สนับสนุนทุกคนในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2546
สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดที่ว่าตั้งอยู่ ณ สหรัฐอเมริกา
แอมเนสตี้มีจุดกำเนิดมาจากปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษผู้เขียนบทความเรียกร้องปล่อยตัวนักศึกษาชาวโปรตุเกสสองคนที่โดนรัฐบาลเผด็จการจับติดคุกเพียงเพราะดื่มเหล้าและชนแก้วสดุดีเสรีภาพ
ดังนั้น สำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ตั้งอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เงินสนับสนุนของแอมเนสตี้
บางคนมีความเข้าใจผิดที่ว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รับเงินมาจากรัฐบาลต่างประเทศ
แต่ในความเป็นจริงเงินทุนสำหรับการจัดกิจกรรม
มาจากการรับบริจาคของบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจด้านสิทธิมนุษยชน และค่าสมัครสมาชิกในแต่ละปี
เพราะแอมเนสตี้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร
และปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล หรือแหล่งทุนอื่นๆ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมือง หรือลัทธิใดๆ
เน้นทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น
เนื่องจากมีพันธกิจเพียงเพื่อให้สังคมเกิดการตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบใด แอมเนสตี้ก็ยังต้องทำงานเพื่อเรียกร้องหรือกดดันให้ประเทศนั้นๆ ยกระดับและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน
โดยไม่มองว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย
รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือว่ารัฐประหาร
เพราะทุกระบอบการปกครองล้วนมีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีสมาชิกและผู้สนับสนุนกว่า 10 ล้านคน ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
มีสำนักงานกระจายตัวอยู่กว่า 70 ประเทศ
ยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเพื่อให้สังคมเกิดความเท่าเทียมกันทางด้านสิทธิมนุษยชน
การที่เรามีสำนักงานกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศ จึงสามารถทำให้ทราบได้ว่าสถานการณ์ของโลก ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมาแล้วกว่า 6 ทศวรรษ
หากนับเป็นตัวเลขของอายุคนเราก็คงเป็นคนหนึ่งที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต และเป็นวัยที่ทุกอย่างเริ่มเชื่องช้าลง
แต่ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้สิทธิมนุษยชน เกิดความเท่าเทียม ทำให้เกิดความสำเร็จมากมาย
อาทิ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญในการปกป้องเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในโลกในปี 2520
หรือล่าสุดเคลื่อนไหวช่วยฆาลิด ดราเรนี นักข่าวชาวแอลจีเรียได้รับการปล่อยตัว หลังจากถูกคุมขังเพียงเพราะทำหน้าที่รายงานข่าวเมื่อปี 2563
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
จะยังคงทำหน้าที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้กับบุคคลที่ถูกละเมิด
เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีความเท่าเทียม
ไม่ควรมีใครถูกกดให้ต่ำลง
แอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
จะขับไล่ใคร องค์กรไหน
ให้พ้นดินแดนแห่งนี้
ลองเปิดตากว้างๆ
รับรู้ รับฟัง โดยรอบด้าน
จะได้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
นี่คือ ข้อมูลส่วนหนึ่งจากองค์กรที่กำลังจะถูกไล่