โกดัง/เรื่องสั้น เจษฎา กลิ่นยอ

เรื่องสั้น

เจษฎา กลิ่นยอ

 

โกดัง

 

ลมพัดกระแทกแทรกเข้ามาทางรอยแตกของบานหน้าต่างที่เขรอะฝุ่น มันส่งเสียงวู่ๆ เมื่อรอดเข้ามาตามรอยแตกนั้น และบานกระจกก็สั่นสะท้าน เหมือนรอยแตกจะเริ่มร้าวรานเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ลมที่พัดเข้ามาฉายชัดให้เห็นถึงสภาพของโกดังที่ถูกหลงลืม กลิ่นเหล็กและสนิมส่งกลิ่นอบอวลในโกดังที่เต็มไปด้วยของเหลือใช้ที่กลายเป็นสิ่งไร้ค่า กลิ่นเหม็นหื่นของวันเวลาที่ตายลง มันสุ่มกองกระจัดกระจายเป็นภูเขาย่อมๆ หลายลูกเต็มไปทั่วพื้นที่ แต่ขณะเดียวกันมันก็กลับให้รู้สึกได้ถึงความเวิ้งว้างว่างเปล่าของกาลเวลาที่ผ่านเลยอย่างไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก หน้าต่างยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นเมื่อลมอีกระลอกพัดเข้าใส่มันอย่างหนักหน่วง คล้ายคนโมโหร้ายและหงุดหงิด ภายนอกโกดังเกิดอะไรขึ้น และเมื่อลมลูกที่สามพัดเข้ามาทางรอยแตกของหน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง เสียงปริร้าวของกระจกบานนั้นที่ยังเหลืออยู่เพียงบานเดียวของโกดังแห่งนี้ก็ลั่นดังเปรี๊ยะชัดเจนในความมืด นอกจากลมแล้ว หยาดฝนก็พัดเข้ามาทางรอยแตกของหน้าต่างบานนั้น มันปะทะเข้ากับชิ้นส่วนที่ส่งกลิ่นเหล็กและเหม็นหื่นของสนิมที่กัดกร่อนมาเป็นเวลานาน

ลูกแมวตัวน้อยเดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาทางรอยแตกของประตูโกดัง มันคาบเศษอาหารที่ใครบางคนทิ้งเอาไว้ ก่อนจะปล่อยออกจากปากแล้วร้องเรียกหาแม่ ไร้สิ้นเสียงตอบรับกลับมาจากความเปล่าเปลี่ยนของมัน ก่อนที่กระแสลมจากหน้าต่างบานนั้นจะพัดหวนขึ้นมาอีกระลอก ปลิวโปรยไปยังขื่อคานชั้นบนของโกดัง มันไต่ตามราวบันไดที่ผุพังขึ้นไปทีละขั้นละตอน คล้ายเสียงคนเดินย่ำเหยียบบนเหล็กอันหนักอึ้ง แล้วพัดให้ประตูบานหนึ่งที่เจ้าของโกดังคนสุดท้ายไม่สนใจไยดีที่จะปิดมันให้สนิท เพราะความตายที่กำลังมาเยือนเขานั้นเป็นหนทางเดียวและสุดท้ายในการหลีกหนีทุกสิ่งอย่างที่เขาต้องแบกรับเอาไว้

แล้วภาพสุดท้ายที่เขามองเห็นก่อนจะชักดิ้นกระตุกอยู่กับขื่อคานโดยมีเชือกคล้องอยู่ที่คอ คือภาพที่บานประตูห้องนอนของเขามองทะลุออกไปเห็นโกดังอันเวิ้งว้างแห่งนี้

ลูกแมวยังคงร้องเรียกหาแม่ของตัวเองแข่งกับเสียงพายุฝนที่เริ่มพัดกระหน่ำ การมีชีวิตและความตายผสานซ้อนในภาพเดียวกันผ่านโกดัง และความซุกซนเกินวัยของมัน มันก็กระโจนไปยังบนกองเศษเหล็กขึ้นสนิทคุ้ยเขี่ยหาสิ่งใดก็ตามที่มันพอจะหยิบจับขึ้นมาเล่น และเศษเหล็กชิ้นหนึ่งก็ถูกมันหยิบขึ้นมาแต่ด้วยอุ้งเท้าอันเหล็กจ้อยก็ไม่สามารถประคองเอาไว้ได้ เหล็กจึงกลิ้งหล่นลงไปส่งเสียงสะท้อนก้องไปตามกำแพงโกดังเมื่อลมหยุด คล้ายส่งเสียงสะท้อนบอกเล่าเป็นความปวดร้าวของใครบางคน และเมื่อเสียงการตกกระทบหยุดลง เสียงร้องเรียกของแม่แมวก็ร้องหาลูกตัวสุดท้ายของมันที่พลัดหลง ลูกแมวส่งเสียงร้องตอบและกระโจนลงจากกองเศษเหล็กวิ่งไปหาแม่

แม่มันเลียตัวอยู่เพื่อสำรวจตรวจดูสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาของวิญญาณสุดท้ายที่ยืนมองออกมาจากห้องนอนที่ประตูบานนั้นไม่ถูกปิด

 

คล้ายฉายภาพซ้ำซ้อนในทุกวัน หลังเขาต้องผูกคอตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็เกินจะนับ หลังประกาศล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด ทุกอย่างก็สูญสิ้นตามกันไป หลายกิจการปิดตัวลงโดยไม่ได้รับการเหลียวแล เขาเป็นหนึ่งในนั้น โกดังปิดตัวลง เขาจำใจขายมันไปด้วยความรู้สึกเสียดาย เพราะนี่คือธุรกิจที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองกับมือและจะส่งต่อให้กับลูกสาวคนเดียวของเขารับช่วงต่อ แต่เขาไม่สามารถแบกรับรายจ่ายได้อีกแล้ว หนี้สิ้นที่กู้ยืมมาเพื่อลงทุน ค่าแรงในการปลดคนงาน ออเดอร์ที่เคยเข้ามาอย่างต่อเนื่องและนับวันจะเติบโตขึ้นกับชะงักขาดหายไป เขาเคยวาดฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะนำธุรกิจของเขาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ทุกอย่างก็กลับพังทลายลงเพียงในปีกว่า เพราะการบริหารการจัดการของรัฐบาลที่ด้อยประสิทธิภาพ การนำเข้าวัคซีนที่ไม่ได้คุณภาพมากพอ และเมื่อโกดังของเขากลายเป็นคลัสเตอร์ เขาถูกสั่งปิดและนั่นคือการปิดอย่างถาวร

ร่างของเขาค่อยๆ ล่องลอยลงมาตามขั้นบันได ยังคงตรวจตราโกดังแห่งนี้อย่างครั้งมีชีวิตในทุกวัน ฝ่ามือไล่ไปตามกำแพงที่ตะไคร้น้ำขึ้นจับส่งกลิ่นเหม็นเขียวอ่อนๆ ปนสนิม พื้นกระเบื้องแตกหญ้าแซมขึ้นตามยาแนว และกำแพงด้านหนึ่งมีใครบางคนมาพ่นสีสเปรย์ว่า “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด”

ห้องทำงานที่ชั้นล่างผ้าม่านสีขาวจนเหลืองปลิวไปในสายฝนอย่างขาดหวิ่น คล้ายสาหร่ายทะเลที่โอนตามแรงคลื่นใต้น้ำ กองกระดาษและเอกสารกระจัดกระจายปลิวไปบนพื้น กล่องหน้ากากอนามัยสีเขียวหล่นอยู่บนเก้าอี้สีดำ รูปครอบครัววางอยู่บนโต๊ะทำงาน ลูกสาวคนเดียวของเขายังคงยิ้มออกมาจากรูปถ่ายใบนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับวันสุดท้ายของเขากางอยู่บนโต๊ะ ภาพผู้คนนอนอยู่หน้าโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อรอเตียงในการรักษา ภาพของความล้มเหลวในการบริหารจัดการสาธารณสุข ภาพความตายของผู้คนที่รัฐมนตรีไม่สะทกสะท้านในการรับผิดชอบกับการล้มเหลวของตนเอง

ลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานยังถูกเปิดค้างข้างในมีผลตรวจโควิดของลูกสาว ทุกอย่างช่างรวดเร็วและแสนสั้น หากมีน้ำตาไหลได้ เขาคงร้องไห้มันออกมา

หลังการรอเตียงรักษาเนิ่นนาน ลมหายใจสุดท้ายของลูกสาวก็พรากจากไป เสียงสวดส่งวิญญาณของพระสงฆ์ในชุดพีพีอีสีขาว สั่นสะเทือนความรูสึกให้หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ทุกสิ่งที่เขามีได้สูญหายไป หน้าที่การงาน ทรัพย์สิน เพื่อนฝูง แม้กระทั่งครอบครัว และตอนนี้ไฟก็กำลังลามเลียศพลูกสาวของเขา

หลังเสร็จสิ้นเขากลับมาที่โกดัง เดินเข้าไปในห้องนอนโดยเปิดประตูทิ้งไว้และตัดสินใจผูกคอตายตามลูกสาว

เสียงแมวแม่ลูกขุดคุ้ยอะไรบางอย่างดังออกมาจากกองเศษเหล็ก เขาล่องลอยออกมาเพื่อดู แมวลายสลิดแม่ลูกพวกนี้มาอาศัยอยู่ในโกดังของเขาตั้งแต่เมื่อไร พวกมันกำลังปีนป่ายไปมา หยอกล้อเล่นไล่ต่อสู้กัน เขาพยายามอยู่นิ่งๆ เพื่อไม่ให้พวกมันรู้สึกกลัว แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะมองเห็นเขาหรือเปล่า

พายุภายนอกเริ่มรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เสียงสิ่งของหล่นลงมาตกแตก ลูกแมวตกใจกระโดดตัวโยนขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะไปหลบหลังแม่ของมัน หลังคาเริ่มขยับเขยื้อนและร่วงหล่นลงมา บ้างก็ปลิวไปในอากาศอันไกลโพ้นแล้วโกดังก็สั่นสะเทือนเมื่อสายฟ้าฟาดผ่าลงที่ใดที่หนึ่ง

ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบ มืดมิดและนิ่งเงียบ

 

เมื่อพายุฝนจากลาท้องฟ้าไปชั่วระยะหนึ่ง แสงสว่างส่องรอดเข้ามาทางช่องประตูโกดัง เขามองเห็นมือของชายคนหนึ่งค่อยๆ ออกแรงลากดึงบานประตูเหล็กอันหนักอึ้ง มันส่งเสียงดังเอี๊ยดจากความฝืดเพราะไม่ถูกเปิดมานาน สีสนิมติดอยู่ที่มือของชายใส่เสื้อเชิ้ตคนนั้นกำลังยืนเหนื่อยหอบเล็กน้อยก่อนหยิบสเปย์ฆ่าเชื้อ 70% ขึ้นมาฉีดพ่นที่มือ ชายใส่สูทเดินตามเข้ามาในโกดัง เขามองดูพวกคนเหล่านั้นสำรวจมองไปรอบๆ ถึงความผุผังต่างๆ ที่ควรจะเป็น การถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยวไม่มีใครเหลียวแล เป็นแค่สิ่งของเหลือใช้ภายในโกดังแห่งนี้ ชายคนแรกดึงหน้ากากอนามัยไปไว้ใต้คางแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ “เจ้านายคุณน่าจะชอบโกดังนี้ วิกฤตแบบนี้คนมีเงินอย่างพวกท่านน่าจะซื้อของถูกได้เยอะ โอ๊ะ ดูสิ มีลูกแมวอยู่ตรงนี้ด้วย” ชายใส่เสื้อเชิ้ตอุ้มลูกแมวขึ้นมาเกาหัวมันเล่นอย่างหยอกล้อก่อนจะวางลูกแมวลงที่พื้น

“ห้องไหนที่เขาผูกคอตาย”

เขามองดูนิ้วมือของชายใส่เสื้อเชิ้ตที่ชี้มายังห้องนอนที่เขากำลังยืนอยู่ในขณะนี้ “เขาขายที่นี่ให้ผมก่อนจะจากไป”

“เป็นคุณต่างหากที่ฉวยโอกาสซื้อโกดังถูกมากกว่า” ชายใส่สูทแสยะยิ้มเล็กน้อยและออกเดินสำรวจดูรอบโกดังเล็กน้อย เขาเห็นข้อความ ‘ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด’ อยู่ที่กำแพง “ช่วยลบคำนี้ให้ด้วยก่อนที่เจ้านายผมจะมาดูในวันจริง”

ชายเสื้อเชิ้ตใช้เท้าขยี้ก้นบุหรี่แล้วดึงหน้ากากอนามัยขึ้นเขาตบไหล่ชายชุดสูทเบาๆ เป็นการรับคำ ชายใส่สูทพ่นสเปรย์ใส่หัวไหล่ตัวเองเบาๆ

“ผมได้ข่าวว่าเจ้านายคุณก็เพิ่งซื้อตึกราคาถูกๆ มา”

“วิกฤตแบบนี้ใครที่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอก็คงต้องพ่ายแพ้ไป เจ้านายผมพยายามจะช่วยเหลือทุกคนที่ล้ม”

ชายเสื้อเชิ้ตแสยะยิ้มคืนบ้าง “เจ้านายคุณเป็นคนดี คนดีแบบนี้แหละที่ประเทศนี้ต้องการ”

เขามองดูชายทั้งสองเดินออกจากโกดัง เสียงสตาร์ตรถยนต์ดังขึ้น ล้อรถค่อยๆ เคลื่อนตัวบดก้อนกรวด ก่อนที่เสียงหวีดแหลมบาดแก้วหูจะทะลุเข้ามา เป็นเสียงร้องของความเจ็บปวดทรมาน เป็นเสียงร้องของการถูกทอดทิ้งอย่างไม่มีใครเหลียวแลใส่ใจ เป็นเสียงที่ลากยาวและหยุดลงอย่างทันท่วงที ณ บนพื้นที่ว่างตรงนั้นโดยไม่ได้มีมือของใครไปจัดฉากแต่อย่างใด

“เห้ย… คุณขับรถเหยียบลูกแมว” เสียงของชายเสื้อเชิ้ตดังขึ้น

“ตายมั้ย”

“ไม่เหลือ เอายังไงกับซากดีล่ะ”

“ช่างมัน ไปกันเถอะ ก่อนที่พายุจะมาอีกรอบ ว่าแต่คุณอย่าเอาหน้ากากลงบ่อยได้มั้ย ผมล่ะกลัว”

รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปอย่างเรียบง่าย

 

คํ่าคืนฝนโปรยปรายอีกครั้ง สายน้ำร่วงหล่นลงมาจากหลังคาที่ปริแตกและหน้าต่างที่ยับเยินบิดเบี้ยว เศษซากของกาลเวลายังคงเวียนว่ายอยู่ในโกดัง ทุกอย่างยังคงถูกทอดทิ้งเอาไว้เช่นเดิม สิ่งที่เคยโดดเดี่ยวก็ยังคงโดดเดี่ยว สิ่งที่ถูกหลงลืมก็ยังคงถูกหลงลืมต่อไป และการร่วงหล่นตายจากของใครคนหนึ่ง ในมุมมองของใครอีกคนหนึ่งอาจมองเห็นเป็นแค่เพียงจำนวนตัวเลข เขายังคงเอามือลูบไล้ไปบนกำแพงโกดังที่มีข้อความ “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” อย่างเช่นทุกวัน หลังแสดงการผูกคอตายสำหรับวันนี้เรียบร้อย ก่อนที่จะหันไปยังเสียงร้องของแม่แมวที่ร้องตามหาลูกของมัน มันปีนขึ้นไปยังกองเศษซากสนิม กระโจนข้ามกองแต่ละกองและขุดคุ้ยหวังว่าจะได้เจอลูกของมันแอบซ่อนอยู่ในนั้น

เขาหยุดสำรวจโกดังแล้วเพ่งมองเข้าไปในความรู้สึก

ด้านนอกฟ้ายังคำรามอยู่เบื้องบน

ภายในแมวยังเรียกร้องหาลูกอยู่เบื้องล่าง

มีเพียงร่างที่เป็นวิญญาณอันอ่อนแสงของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่ระหว่างกลางในปักแห่งความล้มเหลวของประเทศนี้แม้จะตายจากไปแล้วก็ตาม…