อลเวง หมายจับ ‘เสี่ยโจ้’ โต้กันนัว ‘ปม’ ล่องหน กระบวนการ ยธ.บกพร่อง?/บทความโล่เงิน

บทความโล่เงิน

 

อลเวง หมายจับ ‘เสี่ยโจ้’

โต้กันนัว ‘ปม’ ล่องหน

กระบวนการ ยธ.บกพร่อง?

 

ถือเป็นความด่างพร้อยกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง หลังเกิดกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง จนหนีลอยนวลมา 9 ปีกว่า

แล้วมาเกิดกรณีนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” เจ้าพ่อค้าน้ำมันเถื่อนภาคใต้ผู้โด่งดัง ที่ชุดกองปราบปรามรวบตัวได้ขณะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในตลาดกลางคืน ย่านห้วยขวางเมื่อ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

แต่ 6 พฤศจิกายน อัยการจังหวัดสงขลาสั่งไม่ฟ้องตามหมายจับคดีฟอกเงินและค้าน้ำมันเถื่อน ก่อนที่จะปล่อยตัวไป เพราะไม่มีอำนาจควบคุมตัว และอัยการได้ถามตำรวจที่คุมเสี่ยโจ้มาส่งว่า มีคดีอื่นๆ อีกหรือไม่ เพื่ออายัดตัวต่อ แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มี

หลังเสี่ยโจ้ได้รับอิสรภาพ ปรากฏว่าเจ้าตัวยังมีหมายจับที่ศาลจังหวัดปัตตานี

สำนักงานศาลยุติธรรมออกเอกสารแถลงข่าวว่า ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2777/2557 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2557 ให้ลงโทษจำคุกเสี่ยโจ้ 1 ปี 9 เดือน ในความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดเกี่ยวกับดวงตราฯ แต่เจ้าตัวหนี จึงได้ออกหมายจับเมื่อ 9 ตุลาคม 2557 และส่งหมายจับไปให้ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี และ ผกก.สภ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ตามลำดับ

อีกทั้งเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว โดยพิพากษายืน ศาลปัตตานีก็ได้ออกหมายจับเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2558 เพื่อจับเสี่ยโจ้ และส่งหมายจับฉบับใหม่นี้ให้ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี และ ผกก.สภ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี แล้ว

 

งานนี้ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคม “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งสอบหาความจริงทันที

“บิ๊กปั๊ด” หารือ “บิ๊กหิน” พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ หลัง พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 ตรวจสอบพบว่า ศาลปัตตานีได้ส่งหมายจับมาจริง แล้วตำรวจก็รับหมายจริง

นั่นคือ ศาลจังหวัดปัตตานีได้ออกหมายจับ ตามหมายจับที่ 227/2557 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2557 ให้จับตัวนายสหชัยผู้ต้องหาว่ากระทำผิดฐานความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดเกี่ยวกับดวงตราประทับไม้ปลอม ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีหนังสือที่ ศย 309.007/8711-8712 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2557 ส่งหมายจับให้ ผบก.ภ.จว.ปัตตานีแล้ว

โดยมี พ.ต.ท.ชัชวาล อภิรมย์ชวาล รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.สีคิ้ว นครราชสีมา เมื่อครั้งเป็นพนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สภ.สีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา รักษาราชการแทนพนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สภ.เมืองปัตตานี เป็นผู้รับหนังสือของศาลปัตตานี

พร้อมสำเนาหมายจับจากเจ้าหน้าที่ศาล โดยได้ลงลายมือชื่อและวันที่รับสำเนาหมายจับไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2557

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ชัชวาลให้การว่า เมื่อได้รับสำเนาหมายจับแล้วไม่ได้เอาเก็บไว้ที่ตัวเอง แต่จำไม่ได้ว่าส่งสำเนาหมายจับให้กับผู้ใด

เมื่อตรวจสอบสารบบคุมหมายจับปี 2557 ทั้ง สภ.เมืองปัตตานี และกองกำกับการสืบสวน บช.ภ.จว.ปัตตานี ไม่มีหมายจับของนายสหชัยแต่อย่างใด

อีกทั้งตรวจสอบสมุดรับหนังสือก็ไม่พบว่ามีการลงรับหนังสือที่ ศย 309.007/8711-8712 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2557 จากศาลจังหวัดปัตตานี

จึงเป็นที่สงสัยว่า พ.ต.ท.ชัชวาลกระทำผิดวินัย จึงอาศัยอำนาจตามความในกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ จเรตำรวจ (สบ8) เป็นประธานกรรมการสอบ

 

ต่อมา พ.ต.ท.ชัชวาลแจกแจงว่า หมายจับไม่ได้หายไปไหน ปัจจุบันก็ยังอยู่ที่ปัตตานี ยังงงว่าทำไมตำรวจสอบสวนกลางที่จับเสี่ยโจ้หาหมายไม่เจอ

เริ่มไล่เรียงตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2557 เดินทางไปสะสางงานบนโรงพักเมืองปัตตานี เป็นจังหวะเดียวกับที่เสี่ยโจ้หลบหนีออกจากศาลปัตตานี ผู้บังคับบัญชาจึงโทร.สั่งการเร่งด่วนให้ไปสอบปากคำผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องที่ถูกคุมขังในเรือนจำของศาล พร้อมให้รับหมายจับกลับมายังโรงพักก่อนส่งมอบให้ชุดปฏิบัติการไล่ล่า

โดยที่ตัวเองไม่เคยร่วมทำสำนวนคดีเสี่ยโจ้ แต่เมื่อรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็ต้องไปดำเนินการ แล้วกลับมาพร้อมหมายจับที่ชุดปฏิบัติการไล่ล่ารอกันอยู่ ฉะนั้น หมายจับฉบับนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อไล่ล่าผู้ต้องหาในทันที

ต่อมา 10 ตุลาคม 2557 เจ้าหน้าที่จากศาลแจ้งความร้องทุกข์ จากเหตุการณ์เสี่ยโจ้หนี จากนั้นเมื่อเป็นคดีขึ้นมา ศาลปัตตานีก็ออกหมายจับอีกหมายหนึ่ง สำหรับใช้ติดตามจับกุม

ต่อมา พฤษภาคม 2558 ในความผิดเดิม เกี่ยวกับการปลอมดวงตราประทับไม้ ทนาย “เสี่ยโจ้” ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงเป็นที่มาของการออกหมายจับเพื่อติดตามจับกุม

ถึงจุดนี้ รอง ผกก.สีคิ้วขยายความเพิ่มเติมว่า หมายจับฉบับนี้มีความหมายหลายอย่าง

กรณีแรก เป็นการออกหมายทับหรือยกเลิกหมายจับเดิมที่เคยอนุมัติไว้เมื่อปี 2557 (9 ตุลาคม 2557)

กรณีสอง เอกสารถูกส่งไปยัง บก.ภ.จว.ปัตตานีและถูกเซ็นรับ และเก็บรักษาไว้ที่กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี จนถึงทุกวันนี้

และสาม เราทราบกันอยู่แล้วว่า “เสี่ยโจ้” ก่อคดีไว้ไม่น้อย มีคดีความหลายหมายจับ จึงไม่แปลกที่กองปราบฯ จะจับกุมได้ในอีก 7 ปีต่อมาโดยใช้หมายจับอื่น

แต่เมื่อกองปราบฯ มีความจำเป็นต้องใช้หมายจับจากการกระทำความผิดปลอมดวงตราประทับไม้ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมองไม่เห็นหมายจับนี้ หรือใครนั่งทับหมายจับนี้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเก็บไว้ที่กองสืบฯ ปัตตานี พร้อมขอวอนสื่อมวลชนอย่าพาดหัวให้เสื่อมเสีย

“อยากให้ทำความเข้าใจเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ผู้ต้องหาเพิ่งหลบหนี ตำรวจในโรงพักก็พร้อมเตรียมไล่ล่า แต่เขายังต้องรอหมายจับจากผม เมื่อผมนำหมายจับมาให้แล้ว ก็ขอให้มั่นใจว่า หมายจับนั้นถูกนำไปใช้เพื่อการไล่ล่าในทันที ส่วนที่บอกว่า จำไม่ได้ ก็เพราะจังหวะแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปให้ทุกคนมาเซ็นรับเอกสาร ผมจึงหมายความว่าจำไม่ได้ว่าใครได้รับหมายจับไปบ้าง”

สำหรับหมายจับปี 2558 ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่มีใครพบเห็น โดยเฉพาะกองปราบฯ ที่ต้องการนำไปอายัดตัวผู้ต้องหา เพราะยังพบว่า หมายจับยังวางอยู่ที่กองกำกับการสืบสวน บก.ภ.จว.ปัตตานีจนทุกวันนี้

 

ปรากฏว่า กองปราบฯ สวนกลับทันทีว่าไม่มีใครไปนั่งทับหมายจับ เพราะได้พยายามหาหมายจับทุกหมายที่ยังไม่หมดอายุความคุมตัวเสี่ยโจ้ แต่ในสารบบมีหมายเดียว คือคดีฟอกเงิน

พร้อมตั้งคำถามกลับว่า เหตุใดพนักงานสอบสวนที่รับหมายจับมา จึงไม่นำเข้าสารบบหมายจับ และส่งให้กองทะเบียนประวัติอาชญากร (ทว.) ออกประกาศสืบจับไปทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่กำหนดในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องปฏิบัติอย่างชัดเจน

งานนี้เริ่มโยนกลองกันแล้ว ว่าเป็นความบกพร่องของใคร จนคนสงสัยว่าเลินเล่อหรือทำเป็นขบวนการ???

ดังนั้น เมื่อ “กติกา” ชัดเจน กรรมการสอบต้องว่าชี้ให้ชัด ‘ใครผิด’ อย่าลูบหน้าปะจมูก