โซเซียลเดือด ถกสนั่น ‘ไอซ์-ต้อม’ นัดเคลียร์ใจที่ไม่เคลียร์ ผิดใจแค่ไหนก็ไม่ควรมีใครถูกทำร้าย/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

โซเซียลเดือด ถกสนั่น

‘ไอซ์-ต้อม’ นัดเคลียร์ใจที่ไม่เคลียร์

ผิดใจแค่ไหนก็ไม่ควรมีใครถูกทำร้าย

 

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวดราม่าสนั่นโลกออนไลน์ คงไม่พ้นกรณีความขัดแย้งระหว่างไอซ์-รักชนก ศรีนอก กลุ่มพลังคลับเฮาส์ ซึ่งเธอเป็นทั้งแม่ค้าออนไลน์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้โด่งดังจากการแสดงเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในสภาโจ๊ก ที่ออกมากล่าวหาต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับฯ ชื่อดัง

เรื่องราวเริ่มต้นถูกเปิดเผยโดยไอซ์ รักชนก ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าถึงเหตุการณ์นัดเคลียร์ใจกับต้อม ยุทธเลิศ

โดยไอซ์ รักชนก ระบุว่า ต้อม ยุทธเลิศ ได้เรียกตนเองให้ไปพบบนเรือ ที่ท่าเรือแถวคลองสาน เนื่องจากมีปัญหากันกรณีกล่าวหาว่ามีคนโกงเงินม็อบโดยไม่มีหลักฐาน แต่เมื่อมาถึงด้านบนของเรือ เธอได้พูดติดตลกว่าบรรยากาศเหมือนมาคุยกับมาเฟีย และต้อมได้ตอบว่าก็เล่นกับมาเฟียอยู่ไง

ไอซ์ รักชนก ได้อ้างอีกว่า เมื่อคุยกันไปได้สักพัก ตนเองได้ถูกต้อม ยุทธเลิศ ตบหน้า 2 ครั้ง ด้วยความตกใจ โมโห จึงคว้าสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะเพื่อป้องกันตัว และมีการด่าทอกัน พอทุกคนแยกย้าย จึงเดินออกมาเพื่อจะทวงถามคำขอโทษ และอยากรู้ว่าตบหน้าตนเองทำไม แต่กลับโดนโดดถีบที่ท้องอีก 1 ครั้ง สถานการณ์จึงชุลมุนขึ้น

นอกจากนี้ ไอซ์ รักชนก ยังระบุว่า ตนเองถูกกล่าวหาว่าต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อที่จะดิสเครดิตพวกเขา สร้างภาพให้ตัวเองดูดี ขอชี้แจงว่าใครจะมาสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองโดนทำร้าย

และถ้าสภาพจิตใจพร้อมกว่านี้ จะมาเล่าเรื่องราวโดยละเอียด พร้อมจะเปิดเผยทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีหลักฐานทั้งภาพและเสียง ตอนนี้ได้แจ้งความเรียบร้อยแล้ว

 

ทันทีที่ข้อความในเฟซบุ๊กของไอซ์ รักชนก ได้เผยแพร่ออกไป เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีดังกล่าวในโลกออนไลน์เป็นวงกว้าง

ขณะที่ พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ ผู้กำกับการ สน.ปากคลองสาน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนเรือของร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ สน.ปากคลองสาน โดยหลังเกิดเหตุ น.ส.รักชนกได้มาแจ้งความและส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เพื่อนำผลการตรวจมาประกอบในสำนวนการสอบสวน และจากนี้จะนัด น.ส.รักชนกมาสอบปากคำอีกครั้ง ส่วนนายยุทธเลิศ ตำรวจจะออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูลอีกด้านต่อไป

ขณะที่ในโลกออนไลน์ต่างจับตากรณีดังกล่าว ถึงประเด็นการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น โดยหลายคนได้ออกมาแสดงความเห็นไม่น้อย เช่น เพชร กรุณพล นักแสดงชื่อดัง, แม็กซ์ เจนมานะ ศิลปิน

เช่นเดียวกับ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.ก้าวไกล ที่ออกมาโพสต์ข้อความว่า ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตาม แต่ไม่ควรมีการทำร้ายร่างกายกัน ขอให้ไอซ์ได้รับความยุติธรรมโดยเร็ว จากการที่มีคนบอกว่าผมอยู่ในเหตุการณ์นั้น ขอชี้แจงว่าผมลงจากเรือมาตอนสามทุ่ม แล้วช่วยแฟนขนของกลับบ้าน ไม่ได้อยู่ตอนเกิดเรื่อง

ขณะที่หลายฝ่ายได้เรียกร้องให้ผู้จัดงานในวันดังกล่าว ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเช่นไร และผู้อยู่ในเหตุการณ์คือผู้ใดบ้าง

หลายคนมองว่ากรณีการทำร้ายร่างกายแบบนี้ไม่ควรให้เหยื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงคนเดียว

 

หลังจากดราม่าดังกล่าวถูกวิจารณ์เป็นวงกว้าง ช่องทางการติดต่อต้อม ยุทธเลิศ ยังเงียบไร้วี่แววการชี้แจง กระทั่งวันที่ 23 พฤศจิกายน ต้อม ยุทธเลิศ ได้ออกมาทวีตข้อความระบุว่า “ถ้าการตบหน้าผู้หญิง 2 ครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง นี่คือความเลวร้ายที่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด และผมขอยอมรับในความผิดตามกฎหมายนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ส่วนการจะให้ขอโทษด้วยการกราบตีนอย่างที่คู่กรณีผมต้องการในคืนนั้น ผมคงทำไม่ได้ แต่หลังจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ความโกรธอยู่เหนือเหตุผลแบบนี้อีก”

ทั้งนี้ ต้อม ยุทธเลิศ ได้เปิดเผยกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ยอมรับว่า ตัวเองมึนเมาจำไม่ได้ ทำอะไรลงไปบ้าง ส่วนที่ไอซ์ รักชนก อ้างว่าโดนตบหน้า 2 ครั้ง และโดนถีบท้อง ตนขอดูหลักฐานก่อน ไม่ใช่ตบหน้า 2 ครั้งแน่นอน ช่วงนั้นมันชุลมุนมาก ที่คู่กรณีบอกมีหลักฐานตนจำเหตุการณ์ไม่ได้ ยอมรับว่าสติหลุดพอสมควร ขอโทษทุกคนไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น สถานการณ์ทำให้ตนตั้งตัวอะไรไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คนอยู่บนเรือเยอะหลายคนมีทั้งเพื่อนของตนและเพื่อนของคู่กรณี ยืนยันไม่ได้นัดเคลียร์ใจและตนไม่ได้เรียกคู่กรณีขึ้นมาเคลียร์ปัญหากันบนเรือ

หลังเกิดเหตุ คู่กรณีได้ไปแจ้งความ ผิดคือผิดว่ากันไปตามผิด ถ้ามีหลักฐานก็ยินยอมรับผิด ตนไม่รู้หลักฐานที่คู่กรณีมีคืออะไร เรื่องนี้ถ้าตนกับคู่กรณีขอโทษกันก็จบ จะให้ขอโทษก็ไม่มีปัญหา แต่คู่กรณีไม่รับคำขอโทษ ขอมาว่าจะให้ตนกราบเท้าแบบนี้มันไม่ไหว ตนไม่สามารถทำได้ จะให้กราบเท้าไม่กล้าหรอก สุดท้ายเรื่องก็ไปอยู่ที่โรงพัก ถ้าผิดก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ไม่มีปัญหา ผู้กำกับฯ ชื่อดังกล่าว

ส่วนในเรื่องของกฎหมาย ต้อม ยุทธเลิศ เปิดเผยว่า ตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้ติดต่อมาหา หากมีหมายเรียกก็พร้อมเข้าให้ปากคำ หลังเกิดเหตุก็ไม่ได้ติดต่อกับคู่กรณีแต่อย่างใด เรื่องถึงตำรวจแล้ว น้อมรับยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่หนี ถ้าเป็นความผิดที่เกิดขึ้นจริง ยอมรับส่งผลกระทบต่อตัวเอง เหตุที่เกิดขึ้นอยู่ในสภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ถือเป็นบทเรียน สุดท้ายมาเจอกันแบบนี้ในเวลาที่ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ ขาดสติ ตนก็อยู่ในสภาพที่สติไม่เต็มร้อย ก็มานั่งคิดทีหลังว่าทำไมตัวเองต้องไปอยู่ตรงจุดนั้น มันไม่คุ้มจริงๆ

ทำให้รู้ว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ณ วันนั้นมันเป็นแบบนั้น ภาพออกมาทำร้ายผู้หญิอย่างไรก็ผิดอยู่แล้ว มีอะไรก็ไปเคลียร์กันที่โรงพัก ไม่อยากเคลียร์กันที่โซเชียล พูดต่อกันไปมามันไม่จบ เรื่องคดีขึ้นอยู่กับตำรวจ

 

เช่นเดียวกันในวันที่ 23 พฤศจิกายน ไอซ์ รักชนก พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ปากคลองสาน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม โดยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนเข้าให้การว่า ตนยอมรับในวันเกิดเหตุได้บอกให้ต้อม ยุทธเลิศ กราบเท้าขอโทษจริง แต่พูดหลังจากถูกตบหน้าและถูกถีบก่อน จึงมองว่าเทียบกับการที่ตนเองถูกทำร้ายไม่ได้

ซึ่งวันนั้นตนไปในฐานะผู้ร่วมงานคนหนึ่ง และหนึ่งในผู้จัดงานได้เชิญให้ขึ้นไปกินข้าวบนเรือ

ในระหว่างที่อยู่บนเรือก็ทราบดีว่ามีผู้กำกับฯ คนนี้ที่เคยมีปัญหากันมาก่อนแล้วอยู่ตรงนั้นด้วย อีกทั้งทราบว่าผู้กำกับฯ คนดังกล่าวเริ่มเมาแล้วและไม่พอใจที่มีตนเองอยู่บนเรือด้วย แต่เพื่อนแนะนำว่าในเมื่อเจอกันแล้วก็ควรเคลียร์ปัญหาให้จบ เลยตัดสินใจขึ้นไปคุยเพื่อที่จะขอโทษเรื่องเก่าที่เคยมีปัญหากัน

ไอซ์ รักชนก กล่าวต่อว่า เมื่อไปเจอหน้าต้อม ยุทธเลิศ บรรยากาศคล้ายกับการพูดคุยกับมาเฟียจนตนเองต้องเปรยออกมา เพราะมีคนสั่งให้ตนคารวะนายยุทธเลิศ ทำให้คู่กรณีโต้ตอบกลับว่า กำลังเล่นอยู่กับมาเฟียจีนไม่รู้หรอ จากนั้นมีการสนทนากันแต่ไม่แน่ใจว่าจังหวะไหนที่ทำให้นายยุทธเลิศเดินเข้ามาตบหน้าและถีบที่ท้อง ทำให้สุดท้ายตนก็ไม่ได้ขอโทษนายยุทธเลิศตามที่ตั้งใจแต่แรก เพราะเกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

ไอซ์ รักชนก ย้ำว่าวันเกิดเหตุตนเองมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จริง แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมา มีแต่ฝ่ายต้อม ยุทธเลิศ ที่เมา จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าคนเมาทะเลาะกัน และขอย้ำว่าไม่ใช่คนเมาจะทำอะไรก็ได้

โดยตนเองได้เตรียมพยานและหลักฐาน เป็นภาพและคลิปเสียงที่สามารถใช้เป็นหลักฐานในคดีได้

แต่ยังไม่ขอเปิดเผยกับสื่อมวลชนจนกว่าทนายจะอนุญาต