ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ระบอบประยุทธ์อยู่ยาว คือหายนะของประเทศ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ในที่สุด คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประสบชัยชนะใช้วุฒิสภาและพรรคร่วมล้มล้างแก้รัฐธรรมนูญ

และเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกนักวิชาการและพรรคฝ่ายค้านอธิบายว่าทำให้เกิด “ระบอบประยุทธ์” ความสำเร็จในการต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญก็คือชัยชนะในการปกป้อง “ระบอบประยุทธ์” ทันที

ด้วยรัฐธรรมนูญที่คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ เขียนภายใต้การอำนวยการผลิตของคุณประยุทธ์ วุฒิสภาที่คุณประยุทธ์ตั้งน้องชาย, เพื่อนร่วมโรงเรียน, รุ่นพี่, น้องรุ่นพี่, พี่ลูกน้อง, พลเรือนสายเลีย ฯลฯ ก็จะอยู่ในตำแหน่งถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 โดยมีอำนาจเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ จนถึงวันนั้นด้วยเช่นกัน

ตามกติกาที่วุฒิสมาชิกปกป้องทุกวิถีทาง หากมีการเลือกตั้งภายในวันใดวันหนึ่งของเดือนมีนาคม 2567 วุฒิสมาชิกสามารถเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปอีก 4 ปีจนถึงพฤษภาคม 2571

หรือเท่ากับเป็นนายกฯ ถึง 14 ปี หากนับจากปี 2557 ที่คุณประยุทธ์ใช้กระบอกปืนตั้งตัวเองเป็นใหญ่เหนือทุกคน

 

ตามแผนการที่คุณประยุทธ์วางไว้จนเกิดการขัดขวางไม่ให้ประชาชนแก้รัฐธรรมนูญ คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ จากทหารนานที่สุดเท่าที่เคยมีในประเทศ เพราะจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ แค่ 9 ปี, พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็น 8 ปี, จอมพลถนอม กิตติขจร 8 ปีเศษๆ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกือบ 5 ปี ซึ่งน้อยกว่าคุณประยุทธ์ทุกคน

แม้รัฐธรรมนูญจะห้ามบุคคลดำรงตำแหน่งนายกฯ เกิน 8 ปี แต่การตีความแบบเครือข่ายประยุทธ์ก็แสดงให้เห็นว่าจะเริ่มนับเรื่องนี้จากปี 2562 ที่วุฒิสภาของคุณประยุทธ์เลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ไม่ใช่ปี 2557 ที่เป็นนายกฯ จากกระบอกปืน และใม่ใช่ 2560 ที่รัฐธรรมนูญนี้เริ่มใช้จริง

โอกาสเดียวที่คุณประยุทธ์จะไม่เป็นนายกฯ ถึงปี 2571 ก็คือยอมทำตามรัฐธรรมนูญที่ให้เป็นนายกฯ ได้เต็มที่ถึงปี 2570 แต่นั่นก็เท่ากับคุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 2557 นานถึง 13 ปี โดยเนติบริการตีความแบบกะล่อนว่านับเวลาเริ่มเป็นนายกฯ จนครบ 8 ปีตั้งแต่ 2562 ไม่ใช่ 2557 ที่เป็นนายกฯ จริงๆ

7 ปีแรกที่คุณประยุทธ์ยึดประเทศผ่านไปด้วยความมืดมน แต่ความมืดมนนี้เป็นเพียงครึ่งทางของกติกาที่เปิดทางให้ยึดประเทศได้ถึงปี 2570 เป็นอย่างน้อย

นั่นหมายความว่าอะไรที่เคยเห็นใน 7 ปีนี้ก็จะเห็นต่อไปอีก 7 ปีข้างหน้า

ซึ่งก็แปลว่าอะไรที่หายนะวันนี้ก็จะยิ่งทวีความหายนะต่อไป

สําหรับคนที่เป็นกองเชียร์รัฐบาล ข่าวดีคือคุณมีโอกาสจะเห็นประยุทธ์เป็นนายกฯ ประเทศนี้ต่อไปอีก 7 ปี

แต่สำหรับคนรักประเทศนี้จริงๆ มากกว่ารักในการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามเพื่อพวกพ้อง สิ่งที่คุณจะเห็นคือประเทศที่จมปลักภายใต้ผู้นำที่บริหารไม่ได้ วิสัยทัศน์ไม่มี และไม่เหลือแม้บารมีการเมือง

ถ้าคุณประยุทธ์ไม่ตายหรือประชาชนไล่จนมีอันเป็นไปทางการเมือง คุณประยุทธ์ในปี 2570 จะเป็นนายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอายุ 74 หรือราวๆ คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอนนี้ ขณะที่คุณประวิตรจะเป็นรองนายกฯ อายุ 83 ที่ไปไหนมาไหนอาจต้องมีคนหามขึ้นเสลี่ยงจนทำงานอะไรจริงๆ แทบไม่ได้เลย

เห็นได้ชัดว่าคุณประยุทธ์พาประเทศไปสู่อนาคตที่สยองราวฝันร้ายกลายเป็นจริง

แต่นอกจากเรื่องการเมืองซึ่งกองเชียร์คุณประยุทธ์อาจพึงใจที่เห็นประเทศอยู่ภายใต้คนแบบคุณประยุทธ์ ระยะเวลาอีก 7 ปีของระบอบประยุทธ์คือประเทศไทยที่จะเปลี่ยนไปจนคนอีกเยอะไม่อยากอยู่ประเทศนี้เลย

คุณประยุทธ์เป็นคนที่ไม่ฟังใคร ไม่ต้องพูดถึงการจับคนเห็นต่างยัดคดีซึ่งคุณประยุทธ์ทำมากอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

คุณประยุทธ์ที่อายุมากขึ้นอีก 7 ปี จะยิ่งไม่ฟังใครและไล่ล่าคนเห็นต่างมากขึ้น หรือเท่ากับเราจะเข้าสู่ 7 ปีที่คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่แบบหุบปากเงียบยิ่งกว่าที่ผ่านมา

คุณประยุทธ์และลิ่วล้อมักอ้างทฤษฎีของเผด็จการจีนเรื่อง “แมวจับหนู” ว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ ถ้าทำให้เศรษฐกิจไทยดี

แต่ความเป็นจริงก็คือคุณประยุทธ์ทำให้ประชาธิปไตยพังพอๆ กับทำให้เศรษฐกิจพังจนไม่มีวี่แววของการฟื้นขึ้นมาได้เลย

คุณประยุทธ์ทำให้เศรษฐกิจไทยพังตั้งแต่ปี 2557 จนถึง 2563 ทั้งที่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำงานให้รัฐบาล คนที่มาแทนอย่างคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ หรือคุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ นั้นห่างชั้นจนเทียบไม่ได้ ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์ และคิดถึงแค่การบริหารงานราชการด้านเศรษฐกิจต่างๆ เท่านั้นก็ตาม

ยุทธศาสตร์ที่คุณประยุทธ์หวังใช้ฟื้นประเทศคือเขตเศรษฐกิจพิเศษแบบ EEC เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด คนที่เป็นกำลังของรัฐบาลเรื่องนี้คือคุณอุตตม สาวนายน แต่เมื่อคุณประยุทธ์ตัดสินใจเอาคุณอุตตมพ้นรัฐบาลเพื่อตอบสนองก๊วนการเมือง รัฐบาลก็ไม่มีใครรับผิดชอบงานด้านนี้อย่างจริงจังอีกเลย

ขณะที่ “แมว” ในทฤษฎี “แมวสีอะไรก็ถ้าจับหนูได้” อยู่รอดด้วยการจับหนูเป็นอาหารให้ตัวเอง รัฐบาลนี้เหมือน “ปรสิต” หรือ “ปลิง” ที่อยู่ด้วยการสูบเลือดคนอื่น เพราะคุณประยุทธ์มีวุฒิสมาชิกมาตั้งคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ รวมทั้งมีองค์กรอิสระต่างๆ และอำนาจนอกระบบสนับสนุนตลอดเวลา

รัฐในระบอบประชาธิปไตยมีไว้เพื่อปกป้อง “ประโยชน์สาธารณะ” ไม่ว่าจะด้วยเพราะมีสำนึกอย่างแรงกล้าในการทำเพื่อ “ผลประโยชน์ของสังคม” หรือเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐล่มสลายเพราะความขัดแย้งด้านต่างๆ

แต่ในรัฐปรสิตแบบนี้ บทบาทรัฐในการปกป้องประโยชน์สาธารณะแทบไม่มีเลย

7 ปีของคุณประยุทธ์คือ 7 ปีที่รัฐทำเพื่อ “ประโยชน์สาธารณะ” น้อยกว่าทุกรัฐบาลในโลก ตัวอย่าง เช่น วัคซีนโควิดที่ไทยเป็นชาติเดียวในโลกที่ประชาชนต้องซื้อวัคซีนเอง รัฐบาลซื้อแต่วัคซีนที่คนไม่เชื่อถือ และเมื่อวัคซีนที่ประชาชนซื้อไม่มาตามนัด รัฐบาลก็ไล่ประชาชนไปทวงวัคซีนเอง

ขณะที่ทรูกับดีแทครวมกิจการจนพรรคก้าวไกล, คณะก้าวหน้า, TDRI และสภาผู้บริโภคชี้ว่าทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมเหลือแค่ 2 รายจนอาจฮั้วกันเอง รัฐบาลประยุทธ์กลับไม่พูดอะไรราวกับไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น ทั้งที่สังคมกำลังพูดถึงการผูกขาดธุรกิจที่มีเม็ดเงินมากติด 1 ใน 3 ของประเทศไทย

เมื่อรัฐไม่ปกป้องประโยชน์สาธารณะ การเอารัดเอาเปรียบของนายทุนรายใหญ่ก็จะเดินหน้าไปโดยไม่มีใครปกป้องประชาชน 7 ปีของคุณประยุทธ์จึงเป็น 7 ปีที่ทุนใหญ่รวยก้าวกระโดด ซ้ำยังเป็นทุนใหญ่ที่เกือบทั้งหมดสนับสนุนรัฐบาลทางอ้อมผ่านนโยบาย และทางตรงโดยจ่ายเงินเลี้ยงรัฐมนตรี

ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าสัว” ในธุรกิจโทรคมนาคม, ธุรกิจพลังงาน, ธุรกิจการเงิน หรือธุรกิจก่อสร้าง ทุกคนที่อัพเกรดจาก “เสี่ย” เป็น “เจ้าสัว” ในรอบ 7 ปีล้วนมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลด้านใดด้านหนึ่ง รัฐที่ไม่ปกป้องประโยชน์สาธารณะจึงเป็นรัฐที่ปล่อยให้เจ้าสัวรวยบนหยาดเหงื่อประชาชนโดยตรง

ไม่มียุคไหนที่อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้เจ้าสัวและนายทุนเท่ายุคปัจจุบัน ถึงแม้คุณประยุทธ์จะถูกวิจารณ์ตั้งแต่ปีแรกๆ ว่า “อุ้มเจ้าสัว” ด้วยการทำโครงการแจกเงินซึ่งเงินไหลไปสู่ธุรกิจเจ้าสัวทั้งหมด แต่ยิ่งนานการ “อุ้มเจ้าสัว” ยิ่งลุกลามเป็นการปล่อยให้เจ้าสัวทำอะไรก็ได้กับคนไทย

ในอดีตอาจมีรัฐบาลที่เน้นการเติบโตของภาคธุรกิจโดยไม่สนใจการกระจายรายได้เลย แต่นโยบายดังกล่าวมุ่งให้ธุรกิจเอกชนรวยเพราะเชื่อว่าเงินจะไหลไปสู่ชาวบ้านโดยอัตโนมัติ ขณะที่รัฐบาลคุณประยุทธ์ไม่ได้ทำให้ “ภาคธุรกิจ” เติบโตทั้งระบบ แต่ทำให้ “กิจการ” ของเจ้าสัวเติบโตอย่างรวดเร็ว

พูดตรงๆ รัฐบาลอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ภาคธุรกิจ” ต่างจาก “กิจการ” และสิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอด 7 ปีคือการทำให้ “กิจการ” ของ “เจ้าสัว” รวยที่สุดในภาคธุรกิจต่างๆ แต่ไม่ได้ทำให้ภาคธุรกิจนั้นโตไปด้วย รวมทั้งไม่ได้ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนแต่อย่างใด

7 ปีของคุณประยุทธ์คือ 7 ปีที่สังคมไทยทวีความแตกแยกและเหลื่อมล้ำ คนรวยรวยขึ้น และถ้าเป็นคนรวยก๊วนรัฐบาลยิ่งรวยขึ้นอย่างมหาศาล ส่วนคนจนจนลง และยิ่งถ้าเป็นคนจนที่ไม่มีปากเสียงก็ยิ่งไม่มีทางมีที่ยืนในสังคมได้เลย

ภายใต้ระบอบที่จะทำทุกวิถีทางให้คุณประยุทธ์ครอบครองประเทศต่อไป อนาคตเมืองไทยกำลังเดินหน้าไปสู่สังคมที่ช่องว่างทางรายได้ถ่างกว้างมากขึ้น ความคับแค้นใจของคนจนรุนแรงขึ้น และสำนึกว่ารัฐบาลใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงประชาชนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกวัน

รัฐบาลเสื่อมลงแน่ๆ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระและผู้พิทักษ์รัฐบาลที่จะเสื่อมไปด้วย แต่ความเสื่อมภายใต้ความกระหายยึดประเทศจะนำ “ระบอบ” ไปสู่การกดหัว, การข่มขู่ และการปราบปรามที่ไม่มีทางน้อยลงกว่าที่ผ่านมา

ความขัดแย้งในประเทศที่พุ่งทะยานหลังปี 2562 เป็นเพียงฉากแรกของความขัดแย้งที่จะพุ่งแรงกว่าใน 7 ปีจากนี้จนถึงปี 2570 ที่คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ของประเทศไทยต่อไป หากไม่ตายไปก่อน หรือไม่มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง